
โลกกำลังเข้าสู่ “ยุคของ AI” อย่างเต็มตัว เห็นได้จากบริษัทยักษ์ใหญ่อย่าง Amazon, Google, Microsoft และ Meta ที่ต่างเร่งลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐาน AI รวมกันกว่า 213,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งถือเป็นเม็ดเงินระดับเดียวกับยุคทองของกลุ่มน้ำมันและโทรคมนาคมในอดีต ขณะที่ปัจจุบันการพัฒนา AI เพื่อใช้งานไม่ได้จำกัดอยู่แค่เทคโนโลยีหรือชิปเซต แต่เริ่มกระจายเข้าสู่ทุกภาคธุรกิจ ตั้งแต่การผลิต การบริการ ไปจนถึงการแพทย์ ทำให้ “เศรษฐกิจโลกยุคใหม่” ถูกขับเคลื่อนด้วยพลังของข้อมูลและการประมวลผลอัจฉริยะ
รายงานจาก Globalxetfs ประเมินว่า AI จะช่วยเพิ่มมูลค่าให้เศรษฐกิจโลกกว่า 16 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน AI จะทะลุ 1 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ภายในปี 2030 ซึ่งสะท้อนว่า “AI” ไม่ใช่แค่เทรนด์ระยะสั้น แต่คือการเปลี่ยนโครงสร้างการเติบโตของโลกการลงทุนในระยะยาว โดย 2 ธีมที่น่าสนใจที่ได้ประโยชน์สูงจาก AI ได้แก่ กลุ่มสาธารณูปโภค (Utilities) และกลุ่มสุขภาพ (Healthcare)
กลุ่มสาธารณูปโภค (Utilities): พลังงานคือหัวใจของโลก AI
หนึ่งในกลุ่มที่มักถูกมองข้ามแต่มีศักยภาพสูง คือ กลุ่มสาธารณูปโภค(Utilities) เพราะโลกของ AI ต้องพึ่งพาพลังงานมหาศาล โดยเฉพาะศูนย์ข้อมูล (Data Center) ที่ต้องเปิดใช้งานตลอด 24 ชั่วโมง ข้อมูลจาก GlobalXetfs คาดว่า ภายในปี 2030 ความต้องการใช้ไฟฟ้าในสหรัฐฯจะเพิ่มขึ้นแตะ 37 GW หรือเติบโตกว่า 50% จากปัจจุบัน และพลังงานที่ใช้ในการขับเคลื่อน AI จะไม่ได้จำกัดแค่ในพลังงานฟอสซิล แต่รวมถึงพลังงานสะอาดและพลังงานนิวเคลียร์รุ่นใหม่(Next-gen energy) และมีแนวโน้มที่จะกลายเป็นแหล่งพลังงานหลักของโลกในอนาคต
FactSet คาดว่าในไตรมาส 3/2025 กำไรต่อหุ้น (EPS) ของกลุ่ม Utilities จะเติบโตสูงถึง 17%YoY เป็นอันดับสองรองจากกลุ่มเทคโนโลยี(+21%) โดยมีอัตรากำไรขั้นต้น (Net Profit margin) ที่ 16.3% สูงกว่าค่าเฉลี่ย 5 ปีที่ผ่านมา และด้วยลักษณะธุรกิจที่จ่ายเงินปันผลสม่ำเสมอ ทำให้กลุ่มนี้เป็นเป้าหมายของเงินลงทุนในช่วงที่อัตราดอกเบี้ยมีแนวโน้มปรับลดอีกด้วย
กลุ่มสุขภาพ (Healthcare): เมื่อ AI เข้ามาช่วยชีวิตมนุษย์
อีกกลุ่มที่ได้รับแรงหนุนจากเทคโนโลยี AI อย่างชัดเจน คือ กลุ่มการดูแลสุขภาพ (Healthcare) ซึ่งนำ AI มาใช้ตั้งแต่การวินิจฉัยโรค การพัฒนายา ไปจนถึงหุ่นยนต์ช่วยผ่าตัด โดยเฉพาะในกระบวนการค้นคว้ายา (Drug Discovery) ที่ AI ช่วยลดต้นทุนได้กว่า 75% ช่วยลดเสี่ยงของการพัฒนายาอย่างมากและจะช่วยหนุนกำไรในอนาคต โดยในปี 2025 FDA ได้อุนมัติยาใหม่ 36 รายการ ใกล้เคียงกับปี 2024 และยารุ่นใหม่มักผลิตโดยเทคโนโลยีชีวภาพทางชีวภาพ (Biotechnology)
แม้ที่ผ่านกลุ่ม Healthcare จะเผชิญแรงกดดันจากนโยบายควบคุมราคายา ส่งผลให้ราคาหุ้นซื้อขายในระดับที่ “ถูกกว่าตลาด” โดยมีส่วนลดจากดัชนี S&P500 ถึง 15% และค่า Forward P/E เพียง 17.4 เท่า ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของตลาดสหรัฐฯ ที่ 22.4 เท่า นอกจากนี้ ลักษณะของธุรกิจที่เป็น “Defensive Growth” ยังช่วยลดความผันผวนของพอร์ตในช่วงตลาดที่มีมูลค่าสูงได้ดี
นอกจากสองกลุ่มหลักนี้แล้ว ยังมีธีมการลงทุนอื่นที่น่าสนใจและเติบโตไปกับ AI อีกมาก เช่น กลุ่มดาต้าเซนเตอร์ ที่เปรียบเสมือนที่อยู่อาศัยสำหรับ Data ทั่วโลกที่กำลังขยายตัวต่อเนื่อง กลุ่มยานยนต์อัตโนมัติและหุ่นยนต์ ที่เริ่มเห็นการนำมาใช้งานจริงมากขึ้น โดยทั้งหมดนี้คือการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างที่สำคัญของเศรษฐกิจยุคใหม่ ที่ไม่ได้เปลี่ยนแค่เทคโนโลยีด้าน AI แต่ยังเปลี่ยนโครงสร้างการทำธุรกิจทั้งระบบ ทำให้การลงทุนในธีมที่เกี่ยวข้องกับ AI ไม่ได้เป็นเพียงการลงทุนตามกระแสแต่คือการลงทุนตามการเติบโตพร้อมกับโลกในระยะยาว
แผนภาพที่ 1 : Data Center สหรัฐฯ หนุนความต้องการไฟฟ้าเพิ่มขึ้น 50% ภายในปี2030

Source : Globalxetfs.com, Bloomberg, Factset, TISCO Wealth Advisory
แผนภาพที่ 2 : ดัชนี US healthcare ซื้อขายด้วยส่วนลด (discount) เมื่อเทียบกับ S&P500

Source : Globalxetfs.com, Bloomberg, Factset, TISCO Wealth Advisory
บทความโดย ยศรวี จงแสงทอง AFPT™, AISA
Senior Wealth Manager ธนาคารทิสโก้