Biotech ธุรกิจที่เต็มไปด้วยเสน่ห์ M&A ดันราคาหุ้นพุ่ง

file

 

จากสถานการณ์ปัจจุบันที่เศรษฐกิจมีความเสี่ยงที่จะเข้าสู่ภาวะถดถอย (Recession) โดยมีข้อมูลของ Goldman Sachs ระบุว่า นักวิเคราะห์มากกว่า 90% ต่างเชื่อว่า มีโอกาสที่เศรษฐกิจสหรัฐฯ จะเผชิญกับภาวะ Recession ภายในปี 2023 ฉะนั้น การลงทุนในหุ้น จึงต้องหากลุ่มที่สามารถรอดพ้นในช่วงภาวะ Recession ได้

ทั้งนี้ มีการเก็บรวบรวมข้อมูลของทาง Goldman Sachs ในช่วงการ Recession จำนวน 5 ครั้งที่ผ่านมาตั้งแต่ปี 1981 จะพบว่า หุ้นกลุ่มที่สามารถ Perform ได้ดีในช่วงทั้งก่อนและหลังเกิดภาวะ Recession นั่นก็คือ หุ้นในกลุ่มอุตสาหกรรม Healthcare ที่มีความแข็งแกร่งของกำไรบริษัทจดทะเบียน และมีแนวโน้มเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง จากความต้องการใช้บริการด้านสุขภาพที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ แม้ว่าจะเกิดภาวะ Recession แต่เราก็ยังมีความจำเป็นที่ต้องใช้จ่ายในเรื่องของการรักษาสุขภาพ รวมถึงโครงสร้างประชากรที่เข้าสู่วัยสูงอายุมีมากขึ้น การพัฒนาทางด้านการแพทย์จึงเป็นสิ่งสำคัญ โดยเฉพาะหุ้นในกลุ่มอุตสาหกรรม Healthcare ที่มีการผสมผสานเทคโนโลยีเข้ากับความรู้ทางด้านวิทยาศาสตร์มาประยุกต์ใช้กับสิ่งมีชีวิต ก่อให้เกิดนวัตกรรมยาและวัคซีนต่าง ๆ ที่สามารถป้องกันและรักษาโรคร้ายแรงได้ อย่างหุ้นกลุ่ม Biotechnology 

หากย้อนไปตั้งแต่ปี 2020 แม้ว่าบริษัทในกลุ่ม Biotech อาจจะประสบปัญหาในเรื่องของการวิจัยในช่วงการแพร่ระบาดของ COVID-19 ทำให้การวิจัยถูกจำกัดด้วยเรื่องของความสะดวกในการเดินทาง และการขาดแคลนกลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย รวมถึงการควบรวมกิจการ (M&A) ก็มีอุปสรรคเช่นเดียวกัน ทำให้การ M&A ในช่วงที่ผ่านมาลดลงไป โดยมีข้อมูลจาก PwC บริษัทวิจัยทางการตลาดและมุมมองทางเศรษฐกิจ ระบุว่า มูลค่าข้อตกลงการควบรวมกิจการ (M&A) ของบริษัทยาในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2022 ปรับตัวลดลงกว่า 58% YoY อยู่ที่ 61,700 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และมีจำนวนข้อตกลงฯ เพียง 137 ข้อตกลง ลดลง 33% YoY เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2021 ที่ 204 ข้อตกลง

อย่างไรก็ตาม หลังจากนี้ ข้อจำกัดดังกล่าวจะลดลงไป จากการเปิดเมือง ส่งผลให้การทำวิจัยต่าง ๆ และการ M&A สามารถทำได้สะดวกมากขึ้น จากข้อมูลของ Goldman Sachs ระบุว่า ในช่วงครึ่งหลังของปี 2022 หุ้นกลุ่ม Biotech มีโอกาสทำ M&A มากที่สุดโดยมีสัดส่วนอยู่ที่ราว 70% ของหุ้นกลุ่มอุตสาหกรรม Healthcare ทั้งหมด และน่าจะมีแนวโน้มในการทำ M&A ที่เร่งตัวขึ้นจากสถานการณ์ COVID-19 ที่เริ่มคลี่คลาย 

โดยในช่วงครึ่งปีหลังของปี 2022 มีข่าวลือว่า บริษัทยายักษ์ใหญ่ Merck & Co กำลังประเมินศักยภาพในการเข้าซื้อกิจการของ Seagen บริษัทเทคโนโลยีชีวภาพของสหรัฐฯ ที่เน้นการดูแลรักษาโรคมะเร็ง ส่งผลให้ราคาหุ้นของบริษัท Seagen ปรับตัวขึ้น 15.6% ในวันที่มีข่าวลือออกมา อีกทั้งยังมีการคาดเดากันว่า บริษัท AstraZeneca กำลังจะทำข้อตกลงเสนอซื้อบริษัท Mereo BioPharma ที่เน้นการพัฒนาวิธีการรักษาโรคมะเร็งและโรคหายากด้วย

เนื่องจากปัจจุบันบริษัทยาขนาดใหญ่ถือว่าเป็นบริษัทที่มีเงินสดในมือพอสมควร หลังจากช่วง COVID-19 ที่ผ่านมา สามารถขายวัคซีนและอุปกรณ์ทางการแพทย์ไปได้ค่อนข้างมาก ทำให้ในตอนนี้บริษัทยาขนาดใหญ่กำลังหาการเติบโตในยุคถัดไป โดยการหาบริษัทยาที่มีศักยภาพที่สามารถพัฒนาได้ จึงเป็นที่มาว่า กลุ่มบริษัท Biotech ที่มีศักยภาพอาจจะเข้าตากับบริษัทยาขนาดใหญ่ที่กำลังมองหาการเติบโตในอนาคต 

ส่วนใหญ่แล้ว การทำ M&A จะทำให้บริษัทยาที่ถูก M&A ที่มีบริษัทยาขนาดใหญ่มาซื้อ อาจมีราคาหุ้นที่ปรับตัวพุ่งขึ้นได้อย่างก้าวกระโดด อย่างในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2022 ยกตัวอย่างเช่น บริษัท Pfizer ผู้ผลิตยา Biotech ข้ามชาติยักษ์ใหญ่ที่พึ่งประกาศซื้อกิจการของบริษัท Biohaven ผู้คิดค้นนวัตกรรมยาที่ใช้ในการรักษาและป้องกันโรคไมเกรนอย่างยา Nurtec ODT ด้วยจำนวนเงินสดกว่า 11,600 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ส่งผลให้ราคาหุ้นของ Biohaven พุ่งขึ้นถึง 70% ในวันที่มีการประกาศอนุมัติข้อตกลงดังกล่าว

ถัดมา บริษัท GlaxoSmithKline ผู้คิดค้นวิจัยนวัตกรรมยาและวัคซีนระดับโลก ได้ทำข้อตกลงเข้าซื้อบริษัท Sierra Oncology ผู้พัฒนายา Momelotinib ที่ใช้สำหรับรักษาโรคมะเร็งไขกระดูก ด้วยมูลค่า 1,900 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ส่งผลให้หลังการประกาศข้อตกลงดังกล่าว ราคาหุ้นของ Sierra Oncology พุ่งขึ้นกว่า 37% อีกทั้ง บริษัท GlaxoSmithKline ยังได้ทำข้อตกลงเข้าซื้อบริษัท Affinivax ผู้คิดค้นและพัฒนาวัคซีนป้องกันโรคปอดบวม เป็นมูลค่า 3,300 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ด้วย เป็นต้น 

ประกอบกับหากมาดูในส่วนของ Valuation ของหุ้นกลุ่ม Biotech ก็จะพบว่า ต่ำสุดในรอบกว่า 30 ปี โดย Forward 12-Month PE of S&P 500 Biotechnology Index (S5BIOTX Index) ตัวแทนของหุ้นกลุ่ม Biotechnology ยังซื้อ-ขายอยู่ในระดับเพียงราว 11.2 เท่า (as of June 24, 2022) ซึ่งต่ำกว่าค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 5 ปี และ 10 ปีที่ราว 12 เท่า และ 14 เท่าตามลำดับ

จึงเป็นข้อสรุปที่ว่า จากประเด็นภาวะเศรษฐกิจถดถอยที่อาจเกิดขึ้นในระยะข้างหน้า หุ้นกลุ่มที่จะ Outperform ในช่วงเวลาดังกล่าวคือ หุ้นในกลุ่มอุตสาหกรรม Healthcare โดยเฉพาะกลุ่ม Healthcare ที่มีความโดดเด่นและน่าสนใจอย่าง หุ้นกลุ่ม Biotech ที่มี Valuation อยู่ในระดับต่ำ และอาจจะมีการ M&A เพิ่มขึ้นในช่วงครึ่งปีหลังของปีนี้ ซึ่งจะทำให้ราคาหุ้นของบริษัทยาที่ถูกบริษัทยาขนาดใหญ่เข้าซื้อกิจการ มีแนวโน้มปรับตัวขึ้นได้อย่างก้าวกระโดด ตลอดจนสามารถสร้างผลตอบแทนที่ดีให้กับนักลงทุนได้ในระยะยาว

 

====================================================

 

เผยแพร่ครั้งแรกที่คอลัมน์ Money Talk ใน Business Today

 

บทความล่าสุด

จับจังหวะทำกำไร กับขาขึ้นรอบใหม่ของตลาดหุ้น Asia

โพสต์เมื่อ 29 มีนาคม 2567

ตลาดหุ้นเอเชีย (Asia ex Japan) ถือเป็นตลาดหุ้นภูมิภาคที่เต็มไปด้วยบริษัทที่มีศักยภาพในการเติบโตสูงไม่แพ้ตลาดหุ้นในกลุ่มประเทศพัฒนาแล้ว (Developed Markets) โดยเฉพาะในฝั่งของภาคการผลิตที่บริษัทยักษ์ใหญ่จากภูมิภาคเอเชีย ได้ก้าวขึ้นมามีบทบาทสำคัญในหลายอุตสาหกรรมการผลิตของโลก

อ่านต่อ >>

Asia ex Japan หุ้นไม่แพง โตแรงแซงเศรษฐกิจโลก

โพสต์เมื่อ 29 มีนาคม 2567

ท่ามกลางตลาดหุ้นหลักของโลก เช่น ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ที่ปรับตัวขึ้น New High ต่อเนื่องจนมูลค่าเริ่มตึงตัว แต่หุ้นกลุ่มประเทศเอเชียไม่รวมญี่ปุ่น ยังมีมูลค่าการซื้อขายยังอยู่ในระดับต่ำ และสามารถเติบโตได้อย่างแข็งแกร่ง

อ่านต่อ >>

ปีทองตลาดหุ้นเวียดนาม Country winner ปี 2024

โพสต์เมื่อ 29 มีนาคม 2567

เข้าสู่โค้งสุดท้ายของไตรมาส 1 ปี 2024 ตลาดหุ้นหลายแห่งทั้งสหรัฐฯ ยุโรป ญี่ปุ่น อินเดีย ยังเดินหน้าทำ New high อย่างต่อเนื่อง ทำให้การเข้าลงทุนในระดับราคาปัจจุบันเริ่มมีความเสี่ยง (Downside risk) ที่สูงขึ้นจาก Valuation ที่เริ่มตึงตัว

อ่านต่อ >>