
ตลาดหุ้นสหรัฐฯปรับตัวขึ้นต่อเนื่องจน valuation ตึงตัว ขณะที่ภาพเศรษฐกิจสหรัฐฯมีแนวโน้มชะลอตัวในระยะข้างหน้า ช่วงนี้จึงเป็นจังหวะสำคัญในการขายทำกำไรหุ้นสหรัฐฯ
นับจากวัน Liberation Day ในเดือนเม.ย.ที่ปธน.โดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากทั่วโลก ดัชนี S&P500 ปรับตัวขึ้นราว 30% โดยมีแรงหนุนจากความคืบหน้าในการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯกับประเทศต่างๆ ทำให้ดัชนี S&P500 พุ่งขึ้นทำจุดสูงสุดใหม่ที่ระดับ 6,500 จุด ด้วย Fwd P/E 22.29 เท่า ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 10 ปี และเป็นระดับใกล้เคียงกับช่วงที่ตลาดหุ้นฟื้นตัวจากวิกฤติ COVID-19 ก่อนจะปรับตัวลงแรงในปีต่อมา
ขณะที่แนวโน้มผลประกอบการไตรมาส 3 ปี 2568 ของบริษัทจดทะเบียนในดัชนี S&P500 มีแนวโน้มขยายตัวเพียง +0.53% เมื่อเทียบกับไตรมาส 2 หลังจากที่ไตรมาส 2 หดตัวลง -2.69% เมื่อเทียบกับไตรมาสแรกของปี นอกจากนี้ ภาพเศรษฐกิจโดยรวมของสหรัฐฯ มีแนวโน้มชะลอตัวลงต่อเนื่องในระยะข้างหน้าเช่นกัน โดย TISCO ESU คาดการณ์ว่า GDP สหรัฐฯในปี 2025 นี้จะขยายตัวได้เพียง +1.9%YoY โดยได้รับแรงกดดันจากภาษีสินค้านำเข้าที่ปรับเพิ่มสูงขึ้นจากการประกาศใช้มาตรการภาษีตอบโต้ (Reciprocal Tariff) ของปธน.โดนัลด์ ทรัมป์
ตลาดหุ้นสหรัฐฯที่ปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วงที่ผ่านมาขณะที่แนวโน้มผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนและภาพเศรษฐกิจโดยรวมชะลอตัวลงสะท้อนให้เห็นว่า ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ณ ปัจจุบันร้อนแรงเกินไป และเป็นจังหวะที่ควรขายหุ้นสหรัฐฯเพื่อลดความเสี่ยงของพอร์ทลงทุน
บทความโดย ณัฐพร ธรวงศ์ธวัช AFPT™
Senior Wealth Manager ธนาคารทิสโก้