
ศูนย์นิทราเวช รพ.จุฬา สำเร็จในเทคนิคผ่าตัดใหม่แห่งแรกในไทย แก้ปัญหาโรคนอนกรน-หยุดหายใจขณะหลับ OSA
นิตยสาร Trust ฉบับที่ 74 | คอลัมน์ Health Focus
‘นอนกรน’ เป็นอาการที่พบได้บ่อยและอาจสูงถึงประมาณ 50% ของประชากร โดยเฉพาะเพศชายพบมากกว่าเพศหญิง โดยถ้ามีภาวะหยุดหายใจขณะหลับจากการอุดกั้น (Obstructive Sleep Apnea: OSA) พบประมาณ 14% ของประชากรทั้งหมด และเพศชายมีความเสี่ยงมากกว่าหญิงประมาณ 2 เท่า แต่ผู้หญิงวัยหมดประจำเดือนจะพบเพิ่มขึ้นเท่า ๆ กับผู้ชาย
ปัญหาการนอนกรนและภาวะหยุดหายใจขณะหลับจากการอุดกั้น (OSA) นี้ รศ. พญ.นฤชา จิรกาลวสาน หัวหน้าศูนย์นิทราเวช โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย และนายกสมาคมโรคจากการหลับแห่งประเทศไทย ร่วมกับ ผศ. (พิเศษ) พญ.นทมณฑ์ ชรากร หัวหน้าหน่วยโสต ศอ นาสิกวิทยาการนอนหลับ ฝ่ายโสต ศอ นาสิกวิทยา โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย ให้ข้อมูลน่าสนใจว่า ผู้มีความเสี่ยงต่อการเป็นโรค OSA เป็นได้จากหลายสาเหตุ เช่น
- ผู้ที่น้ำหนักเกินหรือเป็นโรคอ้วน ซึ่งคนยุโรปมักเป็นจากน้ำหนักตัวมาก ส่วนคนเอเชียเป็นจากโครงสร้างสรีระใบหน้าแม้น้ำหนักน้อย
- ผู้ที่มีโรคประจำตัวที่ควบคุมได้ไม่ดี เช่น โรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง
- อายุที่เพิ่มขึ้น ผู้ที่มีลักษณะโครงสร้างใบหน้าผิดปกติ เช่น คางสั้น คางเล็ก ร่นไปทางด้านหลัง พบบ่อยในคนเอเชีย
- ผู้ที่มีโรคอื่น ๆ เช่น โรคจมูกอักเสบจากภูมิแพ้ โรคจมูกอักเสบเรื้อรัง
- เนื้อเยื่อทางเดินหายใจที่แถวคอหอยอ่อนตัวลงตามอายุ
การเกิดขึ้นของภาวะหยุดหายใจขณะหลับมีสาเหตุจากเนื้อเยื่อทางเดินหายใจส่วนใดส่วนหนึ่งที่กล่าวถึงข้างต้น เกิดอาการตีบ แคบ ทำให้หายใจลำบาก พอถึงช่วงเวลานอนหลับที่กล้ามเนื้อทางเดินหายใจมีการคลายตัวเลยส่งผลให้ทางเดินหายใจส่วนบนยุบตัว อากาศจึงเข้าได้น้อยลง และอาจเกิดภาวะหยุดหายใจขณะหลับจากการอุดกั้นได้
สัญญาณที่บ่งบอกถึงภาวะ OSA
สำหรับสัญญาณที่บ่งชี้ภาวะ OSA สามารถพิจารณาได้จากการนอนกรน คู่สมรสหรือคนใกล้ชิดอาจสังเกตเห็นว่าผู้ป่วยเงียบไปเหมือนไม่หายใจ แล้วก็มีอาการเฮือกขึ้นมา รวมถึงตื่นเพราะสำลัก หายใจไม่ออก หรือผู้ป่วยพบว่า ตัวเองตื่นบ่อยกลางดึกโดยไม่ทราบสาเหตุ ซึ่งอาจจะตื่นเพียงระยะเวลาสั้น ๆ จนไม่รู้สึกตัว อีกทั้งถ้าคุณเป็นคนหนึ่งที่ตื่นมาปัสสาวะบ่อยเกิน 1 ครั้งต่อคืน โดยที่ไม่ได้ดื่มน้ำมากก่อนนอน ก็เป็นอีกสัญญาณหนึ่งด้วยเช่นกัน เพราะโรคนี้จะไปกระตุ้นให้หัวใจสร้างฮอร์โมนผลิตปัสสาวะเพิ่มขึ้น รวมถึงการนอนละเมอ การนอนกัดฟัน (โดยเฉพาะถ้ามีอาการตอนอายุมากขึ้น) และคนที่มีความดันโลหิตสูง ก็เสี่ยงกับภาวะ OSA เพราะร่างกายไม่ได้พักผ่อนและระบบประสาทอัตโนมัติทำงานมากเกินไป
ส่วนระดับความรุนแรงของภาวะ OSA แบ่งได้ตามจำนวนครั้งของการหยุดหายใจ หรือหายใจแผ่วต่อชั่วโมง จากการตรวจการนอนหลับ (Sleep Test) โดยระดับน้อยคือ 5-15 ครั้ง/ชั่วโมง ระดับนี้ในบางคนอาจง่วงนอนระหว่างวันได้ ระดับปานกลาง 15-30 ครั้ง/ชั่วโมง และระดับรุนแรง มากกว่า 30 ครั้ง/ชั่วโมง ส่วนความอันตรายขึ้นอยู่กับระดับความรุนแรง โดยจะมีความเสี่ยงของระดับความรุนแรงตั้งแต่ระดับปานกลางขึ้นไปที่ส่งผลในการเพิ่มความเสี่ยงของโรคต่าง ๆ ได้แก่ โรคหลอดเลือดหัวใจ โรคหลอดเลือดสมอง อัมพฤกษ์ อัมพาต (Stroke) โรคสมองเสื่อมอัลไซเมอร์ ฯลฯ
‘นอนกรน’ ไม่หายขาด แต่ควบคุมได้
จากระดับความอันตรายที่ผันแปรไปตามความรุนแรงของโรค ฉะนั้น การพบว่ามีภาวะ OSA และได้รับการรักษาอย่างรวดเร็วจะส่งผลดีต่อผู้ป่วย เพื่อป้องกันภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดตามมาดังที่กล่าวถึงข้างต้น ช่วยเพิ่มคุณภาพชีวิต จากการนอนหลับอย่างมีคุณภาพ ช่วยลดความเสี่ยงอุบัติเหตุจากการขับรถ และลดอัตราการเสียชีวิตได้ โดย รศ. พญ.นฤชาบอกว่า
“โรคหยุดหายใจขณะหลับในส่วนใหญ่โดยทั่วไปอาจไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ ในความหมายของการหายไปโดยสิ้นเชิง แต่ควบคุมอาการให้เหมือนปกติได้ เช่นเดียวกับการกินยารักษาความดันที่ต้องกินต่อเนื่องเพื่อควบคุมอาการ ยกเว้นบางกรณีอาจหายขาดได้ หากสาเหตุเกิดจากปัจจัยที่แก้ไขได้ เช่น ผู้ป่วยที่อ้วนมาก ๆ และลดน้ำหนักลงได้ หรือเด็กที่มีต่อมทอนซิลโต และ/หรือต่อมอะดีนอยด์โต แล้วผ่าตัดทอนซิลและต่อมอะดีนอยด์ออก ทั้งนี้ สิ่งสำคัญคือ การมาพบแพทย์เพื่อประเมินความรุนแรงและหาสาเหตุ เพื่อเลือกวิธีการรักษาที่เหมาะสมที่สุดต่อผู้ป่วยแต่ละราย”
หลากหลายแนวทางรักษาโรค OSA
หลังผ่านขั้นตอนตรวจการนอนหลับแล้ว แพทย์จะรักษาโรค OSA ด้วยวิธีการต่าง ๆ ได้แก่ การแนะนำให้ปรับพฤติกรรม ปรับท่านอนจากนอนหงายเป็นนอนตะแคงจะช่วยลดการหยุดหายใจได้มากกว่า วิธีนี้เหมาะสำหรับผู้ป่วยที่มีอาการไม่รุนแรง รวมถึงวิธีการให้ลดน้ำหนัก 5-10% ของน้ำหนักตัว
“วิธีการรักษาหลักสำหรับผู้ป่วยระดับปานกลางขึ้นไป หรือระดับน้อยแต่มีอาการง่วงนอนมากผิดปกติในเวลากลางวัน คือการใช้ ‘เครื่องอัดอากาศแรงดันบวก (CPAP)’ ซึ่งกรองอากาศให้สะอาด และสร้างแรงดันบวกเพื่อถ่างทางเดินหายใจให้กว้างขึ้น อีกวิธีคือ ‘การให้ยา’ โดยหลังตรวจภาวะหยุดหายใจพบสาเหตุว่า เกิดจากสรีรวิทยาด้านใด อาทิ หากเกิดจากการตื่นง่ายไป อาจใช้ยานอนหลับบางตัวรักษาร่วมกับการรักษาด้วยวิธีอื่น ๆ เช่น ร่วมกับการใช้ CPAP รวมถึงการรักษาร่วมกับโรคอื่น ๆ เช่น ล้างจมูก หรือพ่นยารักษาภูมิแพ้ จมูกอักเสบเรื้อรัง และการปรับสุขอนามัยการนอนหลับให้ดีขึ้น เช่น นอนให้พอและตรงเวลา นอกจากนั้นยังมีการรักษาโดยใช้อุปกรณ์ทันตกรรมที่เลื่อนกรามล่างมาทางด้านหน้า โดยทันตแพทย์จะปรับให้อุปกรณ์ค่อย ๆ เลื่อนกรามล่างมาทางด้านหน้าอย่างช้า ๆ ทำให้ช่องว่างหลังคอกว้างขึ้น และอีกวิธีคือการผ่าตัด ได้แก่ การผ่าตัดเนื้อเยื่ออ่อน (เช่น ลิ้นไก่ ทอนซิล) หรือการผ่าตัดโครงสร้างกระดูก อีกทั้งยังมีการรักษาด้วยวิธีการออกกำลังกายทางเดินหายใจส่วนบน โดยที่ทางศูนย์นิทราเวชฯ เพิ่งเปิด ‘คลินิกการออกกำลังกายทางเดินหายใจส่วนบน (Myofunctional Therapy Clinic)’ เพื่อรักษาผู้ป่วยที่อาจจะไม่สามารถรักการรักษาด้วยวิธีอื่นได้”
สำเร็จแห่งแรกในไทย ผ่าตัดกระตุ้นเส้นประสาทสมองคู่ที่ 12
นอกจากวิธีการรักษาต่าง ๆ ที่กล่าวมา ล่าสุด ทีมแพทย์จากศูนย์นิทราเวชและสหสาขาวิชาชีพ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ ได้นำนวัตกรรมการผ่าตัดรักษาผู้ป่วยโรคหยุดหายใจขณะหลับจากการอุดกั้น (OSA) ด้วยเทคนิคใหม่ คือ การกระตุ้นเส้นประสาทสมองคู่ที่ 12 (Hypoglossal Nerve Stimulation: HGNS) ที่ทำหน้าที่ควบคุมกล้ามเนื้อลิ้นมาใช้ และประสบผลสำเร็จ นับเป็นแห่งแรกในประเทศไทยและเป็นแห่งที่ 4 ในเอเชีย ต่อจากญี่ปุ่น สิงคโปร์ และฮ่องกง โดยเป็นเทคโนโลยีที่มีขึ้นกว่า 10 ปีแล้ว แต่เพิ่งเข้ามาบ้านเราเมื่อไม่นาน และสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ของไทยเพิ่งอนุมัติในปีนี้
ผศ. (พิเศษ) พญ.นทมณฑ์อธิบายว่า เทคโนโลยีนี้เป็นอุปกรณ์คล้ายเครื่องกระตุ้นหัวใจ (Pacemaker) ใช้การผ่าตัดฝังเข้าไปในร่างกาย ตัวอุปกรณ์จะส่งกระแสไฟฟ้าไปกระตุ้นเส้นประสาทไฮโปกลอสซอล ทำให้กล้ามเนื้อลิ้นขยับและเลื่อนมาทางด้านหน้าเพื่อเปิดทางเดินหายใจให้กว้างขึ้น อุปกรณ์จะมี Lead อยู่ที่หน้าอกเพื่อรับสัญญาณว่าควรจะกระตุ้นในตอนที่ผู้ป่วยหายใจเข้า ซึ่งเป็นช่วงที่ทางเดินหายใจมีแนวโน้มจะแฟบ ผู้ป่วยเป็นผู้ควบคุมการเปิด-ปิดเครื่องด้วยรีโมตคอนโทรล โดยเปิดเฉพาะเวลานอนและปิดเมื่อตื่น
“เทคโนโลยีใหม่นี้มีการยืนยันประสิทธิภาพการรักษาที่ได้ผลดีขึ้นค่อนข้างสูงและมีความคงที่ ช่วยเปิดทางเดินหายใจได้จริง และด้วยอุปกรณ์ถูกฝังในร่างกายจึงให้ความสะดวกสบาย ไม่มีอะไรมาเกะกะหรือรบกวนภายนอกเหมือนเครื่อง CPAP ทำให้ผู้ป่วยไม่รู้สึกรำคาญหรืออึดอัด ช่วยให้คุณภาพชีวิตดีขึ้นจากการหลับได้มีคุณภาพ ปรับระดับการรักษาได้จากภายนอก การเปิดเครื่องใช้งานต้องรอให้แผลจากการผ่าตัดหายดีก่อน ระยะเวลาประมาณ 1 เดือน หากอาการกรนหรือหยุดหายใจกลับมาในอนาคต สามารถปรับเพิ่มแรงดันไฟฟ้าของการกระตุ้นได้ โดยไม่ต้องผ่าตัดใหม่ซ้ำ ทำให้รักษาต่อเนื่องได้ตลอดอายุการใช้งานของอุปกรณ์ และหลังผ่าตัดใช้เวลาพักฟื้นเพียงสั้น ๆ นอนโรงพยาบาล 1 คืน ผู้ป่วยฟื้นตัวเร็ว สามารถใช้ชีวิตประจำวันได้ตามปกติ ไม่ว่าจะว่ายน้ำ ออกกำลังกายอื่น ๆ ก็ทำได้ แต่มีข้อควรระวังเรื่องเครื่องที่คนไข้จะไม่สามารถเข้าตรวจเครื่อง MRI ที่กำลังสูงกว่า 1.5 เทสลาได้ และจะมี Alarm เมื่อผ่านเครื่องสแกนโลหะตามจุดตรวจ อย่างไรก็ตาม จะมีเอกสารรับรองให้ สำหรับอุปกรณ์ที่ฝังในร่างกายมีแบตเตอรี่ที่มีอายุใช้งานประมาณ 10 ปี หลังจากนั้น ต้องผ่าตัดเปลี่ยนแบตเตอรี่”
ผศ. (พิเศษ) พญ.นทมณฑ์เล่ารายละเอียดเพิ่มเติมด้วยว่า ก่อนที่จะรักษาด้วยเทคโนโลยีนี้ คนไข้ต้องผ่านการลองใช้เครื่อง CPAP มาก่อนอย่างน้อย 1-2 สัปดาห์ หรือนานกว่านั้น จนแน่ใจว่าไม่สามารถใช้ได้จริง จึงจะดำเนินการตามกระบวนการรักษาด้วยการผ่าตัดนี้
“เรียกว่าเทคโนโลยีนี้ ถือเป็นทางเลือกสำคัญสำหรับผู้ป่วยที่ไม่สามารถใช้เครื่อง CPAP ซึ่งเป็นการรักษามาตรฐาน และต้องเป็นผู้ป่วยที่มีภาวะหยุดหายใจขณะหลับระดับปานกลางขึ้นไป โดยต้องยืนยันจากการทำ Sleep Test ต้องได้รับการส่องกล้องทางเดินหายใจ เพื่อประเมินว่ามีลักษณะที่ผ่าตัดแล้วจะได้ประโยชน์และได้ผล และใช้ได้ในผู้ป่วยตั้งแต่อายุ 18 ปีขึ้นไป ไม่มีข้อจำกัดของอายุสูงสุด” รศ. พญ.นฤชากล่าวพร้อมกับเล่าเสริมถึงเคสในโครงการนำร่องของเทคโนโลยีนี้ว่า
“การรักษาด้วยวิธีนี้ยังมีค่าใช้จ่ายค่อนข้างสูง ปัจจุบัน ทีมแพทย์ได้ผ่าตัดนำร่องไปแล้ว 3 ราย เป็นผู้หญิง 1 ราย ผู้ชาย 2 ราย อายุอยู่ในช่วง 45-55 ปี โดย 2 รายแรกได้เปิดเครื่องใช้งานแล้ว ผู้ป่วยที่เข้าร่วมโครงการนำร่องต่างยินดีเป็นส่วนหนึ่งของการรักษาด้วยเทคโนโลยีใหม่นี้ ให้ความกระตือรือร้นและสมัครใจที่จะลองใช้วิธีนี้ เพื่อให้ตัวเองนอนหลับ ต่อยอดสุขภาพและคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น”
หัวหน้าศูนย์นิทราเวชฯ ยังได้กล่าวถึงในส่วนของค่าใช้จ่ายของการรักษาด้วยการผ่าตัด HGNS คาดว่า โรงพยาบาลจุฬาฯ ประกาศใช้กับผู้ป่วยได้ภายในปี 2568 นี้
ศูนย์นิทราเวชฯ เปิดรับการสนับสนุนงานวิจัย
ศูนย์นิทราเวช โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ มีแพทย์ผู้ชำนาญด้านโรคความผิดปกติจากการนอนหลับจากสหสาขามาทำงานร่วมกัน โดยมีคลินิกตรวจโรคความผิดปกติจากการนอนหลับทุกโรค (สำหรับเด็กและผู้ใหญ่) คลินิกสำหรับผู้ใช้เครื่อง CPAP คลินิกออกกำลังกายทางเดินหายใจส่วนบน (Myofunctional Therapy Clinic) มีห้องปฏิบัติการตรวจการนอนหลับ (Sleep Lab) จำนวนรวม 11 เตียง นอกจากนี้ มีการเรียนการสอนฝึกอบรมแพทย์เฉพาะทางด้านการนอนหลับในสหสาขา รวมถึงมีการอบรมแพทย์นานาชาติ
“งานวิจัยของศูนย์ ครอบคลุมทั้งภาวะหยุดหายใจขณะหลับ การพัฒนาการวินิจฉัยและรักษาโรคความผิดปกติจากการนอนหลับอื่น ๆ เช่น โรคนอนไม่หลับ โรคขาอยู่ไม่สุข เป็นต้น ประชาชนที่สนใจบริจาคเพื่อสนับสนุนงานวิจัยของศูนย์ฯ สามารถบริจาคผ่านโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ หรือคณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ระบุวัตถุประสงค์ว่า สำหรับศูนย์นิทราเวช” รศ. พญ.นฤชา กล่าวทิ้งท้าย




