
วางแผนสร้างเกราะป้องกันรอบด้าน เพื่ออนาคตที่ดีของลูก
นิตยสาร Trust ฉบับที่ 74 | คอลัมน์ Holistic Financial Advisory
การเป็นพ่อแม่ในยุคปัจจุบัน อาจเรียกได้ว่าเป็นบทบาทที่ซับซ้อนกว่าที่เคยเป็นมา เพราะไม่ใช่เพียงการดูแลลูกให้เติบโตอย่างปลอดภัย แต่ยังต้องสร้างความมั่นคงในทุกด้าน ทั้งสุขภาพ การศึกษา และการเงิน ความคาดหวังของครอบครัวจำนวนมากคือการได้เห็นลูกมีโอกาสเรียนในโรงเรียนที่ดี มีทุนการศึกษาไปสู่มหาวิทยาลัยที่ตั้งใจ และที่สำคัญคือการมีสุขภาพที่แข็งแรงเพื่อใช้ชีวิตตามความฝัน แต่ในความเป็นจริงแล้ว เส้นทางเหล่านี้เต็มไปด้วยความไม่แน่นอน ค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โรคร้ายแรงก็ไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะในผู้ใหญ่เท่านั้น เด็กเองก็มีความเสี่ยงไม่น้อยไปกว่ากัน และเมื่อเกิดขึ้น ค่าใช้จ่ายที่ตามมาอาจสูงเกินกว่าที่ครอบครัวเตรียมไว้
ด้วยเหตุนี้ การวางแผนอนาคตของลูกจึงไม่ควรอาศัยเพียงเงินเก็บหรือการลงทุนทั่วไป แต่ควรมี ‘เกราะป้องกัน’ ที่ช่วยให้ครอบครัวรับมือกับความไม่แน่นอนได้อย่างมั่นใจ เนื่องจากในปัจจุบันผู้ป่วยด้วยโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง หรือ NCDs ซึ่งเป็นสาเหตุอันดับ 1 ของการเสียชีวิตของคนไทยมีจำนวนเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งอายุเฉลี่ยของผู้ป่วยยังลดลงอีกด้วย ทำให้พ่อแม่มีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นที่อาจไม่สามารถส่งลูกน้อยให้ถึงฝัน หนึ่งในทางเลือกที่ตอบโจทย์ได้คือการใช้ประกันชีวิตสำหรับเด็ก โดยเฉพาะที่ออกแบบมาให้ครอบคลุมทั้งด้านการเก็บออมเงินและให้ความคุ้มครองโรคร้ายแรงสุขภาพ ไม่ได้เป็นแค่ประกันสะสมทรัพย์ แต่เป็นเครื่องมือวางแผนชีวิตที่ครบวงจร
สิ่งที่ทำให้ประกันลักษณะนี้น่าสนใจ คือการออกแบบมาเพื่อเด็กโดยเฉพาะ เริ่มตั้งแต่การเปิดรับตั้งแต่อายุแรกเกิดจนถึง 14 ปี ทำให้พ่อแม่สามารถเริ่มต้นได้ตั้งแต่ลูกยังเล็ก เมื่อเริ่มเร็ว เบี้ยประกันก็จะถูกลง แต่ระยะเวลาคุ้มครองกลับยาวนานกว่า ผลิตภัณฑ์ยังเปิดโอกาสให้ครอบครัวเลือกแผนคุ้มครองตามช่วงวัยเป้าหมาย เช่น หากตั้งใจเก็บเงินก้อนไว้สำหรับช่วงมัธยมศึกษาตอนต้นก็เลือกแบบ 15 ปี หากเน้นช่วงมหาวิทยาลัยก็มีแผน 18 ปี และหากต้องการยาวไปจนลูกเริ่มต้นทำงานก็สามารถเลือกแผน 21 ปีได้ โดยสำหรับแผนการศึกษาบุตร เราสามารถวางแผนการเก็บเงินได้หลากหลายตามประเภทสถานศึกษาที่เราต้องการ ซึ่งค่าเทอมมักจะมีการปรับเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 3-10% ต่อปี สามารถอ้างอิงค่าเทอมของสถานศึกษาแต่ละประเภทในปี 2025 ตามตารางที่ 1
จุดแข็งสำคัญอีกประการหนึ่ง คือ การผสาน ‘ความคุ้มครองพิเศษ’ ไว้ในกรมธรรม์เดียวกัน เด็กที่ทำประกันลักษณะนี้จะได้รับการคุ้มครองกรณีเจ็บป่วยด้วยโรคร้ายแรงที่มักพบในเด็ก เช่น โรคคาวาซากิ ภาวะโพรงสมองคั่งน้ำ โรคเบาหวาน หรือไข้รูห์มาติก ซึ่งหากตรวจพบว่าเข้าข่ายตามเงื่อนไข เราอาจได้รับเงินก้อนทันทีตามสัดส่วนของทุนประกันเพื่อช่วยค่าใช้จ่ายด้านการรักษาโดยไม่กระทบเงินออมเพื่อการศึกษา นอกจากนี้ยังอาจได้รับความคุ้มครองกรณีอุบัติเหตุ ทั้งการเสียชีวิต การสูญเสียอวัยวะหรือสายตา รวมไปถึงค่ารักษาพยาบาลที่อาจสามารถเบิกได้หลายครั้ง ซึ่งถือว่าเป็นเกราะป้องกันที่มีคุณค่าอย่างยิ่งในยุคที่ค่ารักษาพยาบาลเพิ่มขึ้นทุกปี
อีกหนึ่งประเด็นที่ไม่พูดถึงไม่ได้เลยคือ ‘ความคุ้มครองผู้ชำระเบี้ย’ ซึ่งถือเป็นหัวใจของแผนประกันเด็ก เพราะถึงแม้ลูกจะเป็นผู้เอาประกัน แต่ผู้ที่รับผิดชอบการจ่ายเบี้ยคือพ่อแม่ หากเกิดเหตุไม่คาดคิดกับผู้ชำระเบี้ย เช่น การเสียชีวิตหรือทุพพลภาพถาวร กรมธรรม์จะยังคงมีผลต่อไปโดยไม่ต้องชำระเบี้ยที่เหลือ ลูกจะยังคงได้รับการคุ้มครองจนครบสัญญา และได้เงินก้อนปลายทางตามที่วางแผนไว้ตั้งแต่ต้น นี่คือสิ่งที่ทำให้แผนการศึกษาหรืออนาคตของลูกไม่หยุดชะงัก แม้ครอบครัวต้องเจอเหตุการณ์ร้ายแรงที่ไม่คาดคิด
ในด้านการเงิน ผลิตภัณฑ์นี้ยังมีความโดดเด่นเพราะเมื่อครบสัญญา ผู้เอาประกันจะได้รับเงินคืนที่มากกว่าจำนวนเบี้ยสะสม โดยเงินก้อนนี้สามารถนำไปใช้เป็นค่าใช้จ่ายเพื่อการศึกษา หรือเป็นทุนเริ่มต้นให้ลูกก้าวเข้าสู่วัยผู้ใหญ่ได้อย่างมั่นคง นอกจากนั้น เบี้ยประกันชีวิตยังสามารถนำไปใช้สิทธิลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ตามเงื่อนไขที่กรมสรรพากรกำหนด ซึ่งเป็นประโยชน์เพิ่มเติมที่ช่วยให้ครอบครัวบริหารภาษีได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
เพื่อให้เห็นภาพ ลองพิจารณาตัวอย่างครอบครัวที่วางแผนให้ลูกตั้งแต่ยังเล็ก หากเลือกแผนคุ้มครอง 18 ปี โดยเริ่มในช่วงที่ลูกอายุไม่ถึงหนึ่งปี พ่อแม่จะชำระเบี้ยเพียง 12 ปีเท่านั้น หลังจากนั้น กรมธรรม์จะคงอยู่ต่อไปโดยไม่ต้องจ่ายเพิ่ม ระหว่างสัญญาหากลูกมีอุบัติเหตุเล็กน้อยก็สามารถเบิกค่ารักษาได้ หากพบว่าเจ็บป่วยด้วยหนึ่งในโรคร้ายแรงที่กำหนดก็จะได้รับเงินก้อนทันที และถ้าเกิดเหตุไม่คาดคิดกับผู้ชำระเบี้ย กรมธรรม์ก็ยังคงดำเนินต่อโดยยกเว้นเบี้ยที่เหลือทั้งหมด เมื่อถึงปลายสัญญายังได้เงินก้อนกลับมาเพื่อใช้ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ แผนเช่นนี้จึงเป็นเสมือน ‘ระบบที่เดินหน้าอัตโนมัติ’ แม้ครอบครัวต้องเผชิญเหตุการณ์ใดก็ตาม
ท้ายที่สุด ความสุขของพ่อแม่ไม่ใช่เพียงการได้เห็นลูกยิ้มในทุกวัน แต่คือการได้เห็นเขาเติบโตด้วยความมั่นใจว่ามีเส้นทางชีวิตที่มั่นคงรองรับอยู่เบื้องหลัง และความมั่นคงนั้นสามารถสร้างได้ตั้งแต่วันนี้ผ่านการวางแผนที่ถูกต้อง ประกันเด็กอาจดูเหมือนเป็นรายละเอียดเล็กน้อยในสายตาหลายคน แต่แท้จริงแล้วเป็นเครื่องมือที่ช่วยเปลี่ยนความรักให้เป็นพลังคุ้มครองและเงินทุนเพื่ออนาคต จึงไม่ใช่เพียงการซื้อประกัน แต่คือการลงทุนในความฝันของลูก การสร้างหลักประกันชีวิตที่มั่นคง และการมอบของขวัญชิ้นสำคัญที่สุดที่พ่อแม่จะมอบให้ลูกได้




