เทคนิคจัดการมรดกให้คนอยู่สุขใจ คนไปหมดห่วง

นิตยสาร Trust ฉบับที่ 72 | คอลัมน์ Holistic Financial Advisory

iStock 1803508802 scaled

ปัญหาสำคัญของการส่งต่อมรดกสำหรับคนไทยในปัจจุบัน คือ เจ้าของทรัพย์มรดกไม่วางแผนการส่งต่อมรดกจนกระทั่งเสียชีวิตจากหลายสาเหตุ เช่น เกรงว่าจะเป็นลางร้ายแก่ตนเอง ไม่คุ้มค่ากับการลงเงินลงแรงวางแผน หรือคิดเพียงว่าให้เป็นหน้าที่ของทายาทจะตกลงกันเอง เป็นต้น แต่ในความจริง หากไม่วางแผนมรดกไว้อาจทำให้เกิดผลเสียหลายประการ เช่น ทรัพย์มรดกไม่ได้ตกทอดถึงทายาทเต็มจำนวน กลายเป็นภาระภาษีของทายาท หรือซ้ำร้ายยังมีโอกาสที่เกิดข้อพิพาทแย่งชิงสมบัติภายในครอบครัวตามที่เห็นตามสื่ออยู่บ่อยครั้ง ทั้งที่สามารถแก้ปัญหาเหล่านี้ได้ด้วยการจัดทำ ‘พินัยกรรม’ และใช้ ‘ประกันชีวิต’ เป็นเครื่องมือหลักที่จะช่วยบริหารการส่งต่อทรัพย์สินได้ง่าย ๆ และลดภาระค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ที่อาจเกิดขึ้น เมื่อเกิดกระบวนการส่งต่อมรดกสู่ทายาทด้วย

          สำหรับการวางแผนภาษีมรดก เริ่มจากสำรวจทรัพย์ที่ต้องเสียภาษีมรดกจะเป็นทรัพย์สินที่มีการระบุชื่อเจ้าของ เช่น บัญชีเงินฝาก หลักทรัพย์ อสังหาริมทรัพย์ ยานพาหนะ และส่วนทรัพย์ที่ไม่ต้องเสียภาษีมรดก เช่น ทุนประกันชีวิต เป็นต้น

          จากนั้นเมื่อเจ้ามรดกเสียชีวิต ทรัพย์มรดกจะตกทอดแก่ทายาท ซึ่งแบ่งเป็น 2 ประเภท คือ ‘ทายาทโดยธรรม’ โดยเป็นผู้ที่สัมพันธ์ทางสายเลือดกับเจ้ามรดก 6 ลำดับ ได้แก่ 1. ผู้สืบสันดาน 2. บิดามารดา 3. พี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกัน 4. พี่น้องต่างบิดาหรือต่างมารดา 5. ปู่ ย่า ตา ยาย และ 6. ลุง ป้า น้า อา ซึ่งมรดกจะตกทอดตามหลัก ‘ญาติสนิทพิชิตญาติห่าง’ คือ มรดกจะตกทอดแก่ญาติลำดับสูงสุดเท่านั้น และหากเจ้ามรดกมีคู่สมรส คู่สมรสจะได้รับส่วนแบ่งมรดกร่วมกับทายาท โดยจะมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับว่าทายาทที่ได้รับมรดกอยู่ในญาติลำดับใด

P15 Holistic Financial 1

          ส่วนทายาทอีกประเภท คือ ‘ทายาทโดยพินัยกรรม’ จะเกิดขึ้นเมื่อเจ้ามรดกระบุผู้ที่มีสิทธิ์ในทรัพย์มรดกแต่ละรายการในพินัยกรรม โดยไม่จำเป็นต้องคำนึงถึงลำดับ ‘ทายาทโดยธรรม’ ซึ่งช่วยแก้ปัญหาเรื่องข้อขัดแย้งการจัดสรรมรดก เนื่องจากพินัยกรรมคือการแสดงเจตจำนงของเจ้ามรดกนั่นเอง อย่างไรก็ดี การทำพินัยกรรมเพียงอย่างเดียวยังไม่เพียงพอสำหรับกองมรดกที่จะรวมถึง ‘หนี้สินในกองมรดก’ และ ‘ค่าใช้จ่ายแฝงสำหรับการส่งต่อมรดก’ ที่อาจเป็นภาระแก่ทายาทได้ เช่น หนี้สินของเจ้ามรดกที่ต้องชำระก่อนแบ่งมรดก ภาษีมรดก เป็นต้น

          โดยเฉพาะภาษีมรดกที่ยังมีโอกาสสูงขึ้นได้อีกในอนาคต เนื่องจากปัจจุบันประเทศไทยเก็บภาษีมรดกที่อัตราภาษีสูงสุดเพียง 10% แต่ประเทศอื่นที่มีการเก็บภาษีมรดกราว 41 ประเทศมีค่าเฉลี่ยที่ 20% นอกจากนี้ ยังมีเรื่องการสูญเสียรายได้ของเสาหลักครอบครัวก็อาจเป็นรายได้ของครอบครัวที่ทายาทจะหายไปในอนาคตด้วย ซึ่งประกันชีวิตจะช่วยเข้ามาจัดการค่าใช้จ่ายเหล่านี้ได้ดีขึ้น โดยมีตัวอย่างกลยุทธ์การซื้อประกันชีวิตเพื่อจัดการการส่งต่อมรดกได้ ดังนี้

          1. พิจารณาซื้อประกันชีวิตที่ค่าเบี้ยประกันชีวิตเท่ากับภาษีมรดกก่อนวางแผนมรดก โดยภาษีการรับมรดกจะต้องเสียภาษีส่วนเกิน 100 ล้านบาทนั้นในอัตราภาษี 5% หากผู้รับมรดกเป็นบุพการีหรือผู้สืบสันดาน หรือ อัตราภาษี 10% หากเป็นบุคคลอื่น โดยวิธีนี้เหมาะกับมรดกที่มีมูลค่าสูงจนต้องเสียภาษีมรดก เพื่อไม่ให้ทรัพย์มรดกลดลงจากการถูกเรียกเก็บภาษี และหลีกเลี่ยงการขายทรัพย์โดยไม่จำเป็นเพื่อนำไปจ่ายภาษี ซึ่งจะยกตัวอย่างเปรียบเทียบระหว่างการซื้อและไม่ซื้อประกันชีวิตเพื่อบริหารภาษีมรดกดังนี้

P15 Holistic Financial 2

          กรณีตัวอย่างของการวางแผนเบื้องต้น หากเจ้ามรดกอายุ 35 ปี และตั้งใจที่จะส่งต่อมรดกให้แก่บุตร 1 คน จำนวน 250 ล้านบาท โดยบุตรจะต้องเสียภาษีการรับมรดกในอัตรา 5% สำหรับส่วนที่เกิน 100 ล้านบาท ซึ่งส่วนที่ต้องเสียมรดกเท่ากับ 150 ล้านบาท คิดเป็นภาษี 7.5 ล้านบาท หากไม่ได้วางแผนมรดกไว้ก่อน บุตรจะได้รับมรดกทั้งสิ้น 242.5 ล้านบาท ซึ่งต่ำกว่าที่เจ้ามรดกตั้งใจไว้ที่ 250 ล้านบาท

          แต่หากเจ้ามรดกได้วางแผนการส่งต่อมรดกมูลค่า 250 ล้านบาท และใช้ประกันชนิดคุ้มครองลูกค้าสินทรัพย์สูงมาวางแผนการส่งต่อมรดกด้วยการจ่ายเบี้ยประกันจำนวนที่ใกล้เคียงกับภาษีที่ผู้รับมรดกจะต้องเสียภาษีอยู่แล้ว โดยหากใช้ข้อมูลผู้ทำประกันเป็นเพศชาย อายุ 35 ปี สุขภาพดี จ่ายเบี้ยประกันชนิดคุ้มครองลูกค้าสินทรัพย์สูงแบบจ่ายเบี้ย 10 ปี คุ้มครองถึงอายุ 99 ปี ซึ่งคิดเป็นค่าเบี้ยประกันรวม 7.1 ล้านบาท (น้อยกว่าภาระภาษีการรับมรดก) จะได้ความคุ้มครองสูงถึง 16 ล้านบาท

          เนื่องจากเจ้ามรดกต้องจ่ายค่าเบี้ยประกัน 7.1 ล้านบาททำให้ส่วนที่เกิน 100 ล้านบาท เพื่อมาคำนวณภาษีลดลงเป็น 142.9 ล้านบาท ดังนั้นอัตรา 5% ที่เท่ากับ 7.15 ล้านบาทและเมื่อรวมมูลค่าทรัพย์สินทั้งหมดที่บุตรจะได้ จะเท่ากับ 100 ล้านแรกบวกกับส่วนเกิน 100 ล้านบาท และมูลค่าสินไหมมรณกรรมจากประกันอีก 16 ล้านบาท ทำให้จะได้รับมรดกหลังหักภาษีทั้งสิ้นรวม 251.8 ล้านบาท ซึ่งมากกว่ามูลค่าที่เจ้ามรดกตั้งใจจะให้ตั้งแต่แรกอีกด้วย จะเห็นได้ว่า หากวางแผนการส่งต่อมรดกไว้ล่วงหน้าก็จะสามารถรักษาความมั่งคั่งที่ต้องการส่งต่อให้แก่บุตรได้โดยที่มีค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นเทียบเท่ากับการเสียภาษีมรดก กรณีที่ไม่ซื้อประกันชีวิต

iStock 2168270301

          2. พิจารณาซื้อประกันชีวิตให้มูลค่าทุนประกันสร้างรายได้เท่ากับที่จะเกิดจากทรัพย์มรดกนั้น ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1732 ผู้จัดการมรดกต้องแบ่งทรัพย์สินให้เรียบร้อยภายใน 1 ปี อย่างไรก็ดีหากมีข้อโต้แย้งต่าง ๆ อาจต้องใช้เวลานานกว่าที่จะแบ่งทรัพย์มรดกลงตัวได้ และหากก่อนหน้านี้เจ้ามรดกใช้รายได้ที่เกิดจากทรัพย์สินนั้นมาเป็นแหล่งรายได้ของครอบครัวเป็นหลัก ถ้าไม่มีกระแสเงินสดมาใช้จ่ายช่วงที่มีการแบ่งทรัพย์มรดกอาจทำให้ทายาทขาดสภาพคล่องในการดำเนินชีวิตได้ ดังนั้นวงเงินเอาประกันชีวิตควรกำหนดจากกระแสเงินสดทั้งหมดที่เกิดจากทรัพย์มรดกภายใน 1 ปี โดยเจ้ามรดกต้องระบุชื่อผู้รับผลประโยชน์และแบ่งสัดส่วนตามค่าใช้จ่ายโดยประมาณของทายาทแต่ละคน และหากมีมูลค่าหลังส่งมอบมรดกให้ทายาทแต่ละรายเกินกว่า 100 ล้านบาทอาจเพิ่มทุนประกันที่รวมอัตราภาษีมรดกไว้ด้วย เพื่อช่วยให้ไม่เป็นภาระภาษีแก่ทายาทที่จะได้รับมรดก

         3. พิจารณาตามความต้องการพื้นฐานของครอบครัว (Needs Approach) จะมีมูลค่าต่างจากข้อ 2 เล็กน้อย โดยพิจารณารายจ่ายที่เกิดขึ้นในครอบครัวที่ไม่รวมกับรายจ่ายส่วนตัวของเจ้ามรดก อาจแบ่งเป็น 3.1) รายจ่ายที่มีระยะเวลาและวงเงินชัดเจน เช่น จำนวนหนี้สินระยะยาว เช่น สินเชื่อบ้าน รถยนต์ เป็นต้น หรือค่าเล่าเรียนบุตรจนจบการศึกษา โดยมีจุดประสงค์เพื่อสร้างมรดกที่ปลอดภาระหนี้สิน หรือให้ทายาทยังสามารถดำเนินชีวิตต่อไปได้ยามที่เราจากไป และ 3.2) รายจ่ายที่ไม่แน่นอนหรือไม่มีระยะเวลากำหนด เช่น รายจ่ายทั่วไปที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิตของครอบครัวที่หัวหน้าครอบครัวกำลังรับผิดชอบ ซึ่งเหตุไม่คาดฝันที่อาจเกิดกับหัวหน้าครอบครัวไม่สามารถคาดการณ์ได้ล่วงหน้าว่าจะเกิดขึ้นเมื่อไหร่ ซึ่งรายจ่ายทั้ง 2 ประเภทนี้จะใช้วิธีบริหารต่างกัน

          โดยรายจ่ายที่ 3.1) อาจเลือกประกันแบบชั่วระยะเวลา (Term Insurance) มาช่วยคุ้มครองเพราะสามารถกำหนดเวลาครบสัญญาที่ชัดเจนได้ ซึ่งโดยทั่วไป การขอสินเชื่อบ้านหรือสินเชื่อรถยนต์ผ่านสถาบันการเงินต่าง ๆ จะเสนอประกันคุ้มครองสินเชื่อ (MRTA) ที่กำหนดระยะเวลาตามกำหนดของสินเชื่อให้อยู่แล้ว แต่ค่าใช้จ่ายอื่น เช่น ค่าเล่าเรียนอาจต้องซื้อประกันแบบ Term เพิ่มเติมโดยกำหนดระยะเวลาให้ใกล้เคียงกับระยะเวลาที่ต้องจ่ายค่าเรียน เป็นต้น

          ส่วนรายจ่าย 3.2) อาจเริ่มด้วยการคำนวณเงินทุนสำหรับการปรับตัว เช่น หากครอบครัวมีรายจ่ายต่อเดือนราว 30,000 บาท โดยมีบุตร 1 คนที่กำลังจะเริ่มศึกษาชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 โดยตั้งใจว่าระยะเวลาที่ครอบครัวจะปรับตัวได้เมื่อหัวหน้าครอบครัวจากไป เมื่อบุตรเรียนจบปริญญาตรี คือ 16 ปี จากนั้นคำนวณวงเงินเอาประกันที่เหมาะสมในปัจจุบัน จากค่าใช้จ่ายคร่าว ๆ คือนำค่าใช้จ่ายมารวมกันใน 16 ปี หรือ 5.76 ล้านบาท [(30,000 บาท x 12 เดือน) x 16 ปี] และเมื่อรวมกับค่าเล่าเรียนจะมีค่าใช้จ่าย 7.76 ล้านบาท แต่หากต้องการคำนวณให้แม่นยำมากขึ้น อาจต้องพิจารณาอัตราเงินเฟ้อที่ส่งผลให้ค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นในอนาคต และความสามารถในการลงทุนของครอบครัวว่าสามารถนำเงินสินไหมไปลงทุนหาผลตอบแทนได้ร้อยละเท่าไหร่ต่อปี หากยิ่งทำผลตอบแทนได้มาก จะสามารถลดเงินเอาประกันได้ เช่น กำหนดให้อัตราเงินเฟ้อ 3% ต่อปี โดยครอบครัวสามารถลงทุนได้ผลตอบแทนหลังหักภาษีที่ 5% ต่อปี เมื่อรวมกับค่าเล่าเรียนบุตรและภาระหนี้สิน เงินเอาประกันที่เหมาะสมจะลดลงเหลือ 6.91 ล้านบาท เป็นต้น

         การทำพินัยกรรมและการใช้ประกันชีวิตถือเป็นเครื่องมือพื้นฐานที่สำคัญอยู่เสมอในการวางแผนมรดก โดยการทำพินัยกรรมช่วยให้เจ้ามรดกสามารถระบุทรัพย์สินที่ต้องการโอนให้ทายาทแต่ละคนได้ตรงตามความต้องการของเจ้ามรดก และในด้านประกันชวิตจะเข้ามาช่วยให้การแบ่งทรัพย์มรดกมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยทายาทจะได้รับเงินก้อนจากประกันชีวิตทันทีที่เจ้ามรดกเสียชีวิตโดยไม่ต้องเข้ากองมรดก และยังสามารถระบุสัดส่วนผู้รับผลประโยชน์ได้ตามต้องการของเจ้ามรดก อีกทั้งยังช่วยจัดการภาษีมรดกเพื่อไม่ให้มูลค่าทรัพย์สินลดลงเมื่อโดนเก็บภาษี นอกจากนี้ ทั้ง 2 วิธียังช่วยลดภาระด้านเวลาและการเงินของทายาทในการจัดสรรมรดกและยังช่วยลดปัญหาความขัดแย้งภายในครอบครัวอีกด้วย

Trust Magazine by TISCO
Scroll to Top
ไอคอน PDPA

เว็บไซต์นี้มีการจัดเก็บคุกกี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการใช้งานเว็บไซต์ของท่านให้ดียิ่งขึ้น และนำเสนอโฆษณาที่เกี่ยวข้องและตรงกับความสนใจของท่าน โดยท่านสามารถศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้จาก นโยบายการใช้คุกกี้ กรุณากดยอมรับเพื่อยินยอมให้เราใช้คุกกี้

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    เปิดใช้งานตลอด

    ประเภทของคุกกี้มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้ได้อย่างเป็นปกติ และเข้าชมเว็บไซต์ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้
    รายละเอียดคุกกี้

  • คุกกี้ที่จำเป็น

    ประเภทของคุกกี้มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้ได้อย่างเป็นปกติ และเข้าชมเว็บไซต์ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้

บันทึกการตั้งค่า