
รู้เท่าทันโรคความดันโลหิตสูง พร้อมวางแผนการเงินด้วยประกันโรคร้ายแรง
นิตยสาร Trust ฉบับที่ 73 | คอลัมน์ Holistic Financial Advisory

โรคความดันโลหิตสูง (Hypertension) กำลังกลายเป็นหนึ่งในปัญหาด้านสุขภาพที่สำคัญระดับโลก จากข้อมูลขององค์การอนามัยโลก (WHO) คาดการณ์ว่า ภายในปี 2568 จะมีผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูงทั่วโลกเพิ่มขึ้นถึง 1,560 ล้านคน โดยในจำนวนนี้เป็นกลุ่มประชากรอายุ 30-79 ปี มากถึง 1,300 ล้านคน
สถานการณ์ในประเทศไทย
อ้างอิงจากฐานข้อมูลสุขภาพของ Health Data Center (HDC) กระทรวงสาธารณสุขระบุว่า เมื่อปี 2565 ประเทศไทยมีผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูงประมาณ 6.8 ล้านคน เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้าราว 200,000 คน ทั้งนี้ ปัจจัยที่ส่งผลต่อการเพิ่มขึ้นของผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูงทั้งในไทยและทั่วโลก มักเกี่ยวข้องกับพฤติกรรมการใช้ชีวิตในปัจจุบัน อย่างการบริโภคอาหารรสเค็มจัดหรือมีไขมันสูง ขาดการออกกำลังกาย ภาวะเครียดเรื้อรัง การพักผ่อนไม่เพียงพอ การสูบบุหรี่ และดื่มแอลกอฮอล์เป็นประจำ โดยโรคนี้มีลักษณะสำคัญ คือ มักไม่แสดงอาการในระยะแรก และหากไม่ได้รับการควบคุมอย่างเหมาะสม อาจนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรง เช่น โรคหลอดเลือดสมอง โรคหัวใจ โรคไตเรื้อรัง ภาวะตาบอดจากจอประสาทเสีย และอัมพาต ซึ่งจากข้อมูลการแพทย์ต่างประเทศพบว่าโอกาสเกิดโรคแทรกซ้อนเหล่านี้ค่อนข้างสูง

ค่าใช้จ่ายในการรักษาที่ไม่ควรมองข้าม
หนึ่งในผลกระทบสำคัญที่ผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูงต้องเผชิญ นอกเหนือจากความเสี่ยงด้านสุขภาพแล้ว ยังมีอีกส่วนหนึ่งที่สำคัญ คือ ภาระค่าใช้จ่ายในการรักษา โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อเกิดโรคแทรกซ้อนซึ่งต้องใช้การรักษาที่ซับซ้อนและมีค่าใช้จ่ายสูง ดังที่แสดงในตารางนี้

ซึ่งค่าใช้จ่ายเหล่านี้ยังมีแนวโน้มที่จะเพิ่มขึ้นทุกปี และอาจส่งผลกระทบต่อความมั่นคงทางการเงินของครอบครัวผู้ป่วยได้ ดังนั้น การวางแผนทางการเงินเพื่อบริหารความเสี่ยงด้านสุขภาพจึงเป็นเรื่องที่ไม่ควรมองข้าม โดยการมีประกันสุขภาพคู่กับประกันโรคร้ายแรง ถือเป็น ‘เครื่องมือป้องกันความเสี่ยง’ ที่ช่วยรองรับค่าใช้จ่ายที่ไม่คาดฝันได้อย่างมีประสิทธิภาพ
อย่างไรก็ตาม ในทางปฏิบัติพบว่า คนส่วนใหญ่มักมีเพียงประกันสุขภาพ เนื่องจากมองว่าเพียงพอที่จะครอบคลุมค่ารักษาพยาบาลในโรงพยาบาล โดยละเลยบทบาทสำคัญของประกันโรคร้ายแรงที่ให้ความคุ้มครองในลักษณะเงินก้อนทันที ซึ่งสามารถนำไปใช้ชดเชยรายได้ที่หายไปช่วงเจ็บป่วย ฟื้นฟูร่างกาย หรือรักษาโรคด้วยเทคโนโลยีที่ดีกว่า ในกรณีที่ต้องการการดูแลพิเศษนอกเหนือจากมาตรฐานทั่วไป
ทั้งนี้ ธนาคารทิสโก้ขอแนะนำในการพิจารณาเลือกประกันโรคร้ายแรงอย่างรอบคอบ โดยเรามีวิธีเลือกประกันโรคร้ายแรง 5 ข้อสำคัญดังนี้
วิธีเลือกประกันโรคร้ายแรง
1. ประกันโรคร้ายแรงต้องครอบคลุมหลายโรค โรคความดันโลหิตสูงเป็น ‘ภัยเงียบ’ ที่มักไม่มีอาการชัดเจนในช่วงแรก แต่สามารถก่อให้เกิดโรคร้ายแรงตามมาได้อีกหลายโรค เช่น โรคหัวใจขาดเลือด เส้นเลือดในสมองแตกหรืออุดตัน (Stroke) โรคไตวายเรื้อรัง โรคอัมพาต ฯลฯ ดังนั้น การเลือกประกันโรคร้ายแรงที่ครอบคลุมหลายกลุ่มโรคถือเป็นสิ่งจำเป็น เพื่อให้แน่ใจว่าเราจะได้รับความคุ้มครองหากเกิดโรคแทรกซ้อนที่เกี่ยวเนื่องกัน ซึ่งมักมีค่าใช้จ่ายในการรักษาสูง และต้องรักษาต่อเนื่องเป็นระยะเวลานาน
2. เลือกแผนที่จ่ายเงินก้อนในระยะแรกสูง โรคร้ายแรง เช่น มะเร็ง หรือเส้นเลือดในสมองแตก มักต้องใช้เงินก้อนจำนวนมากในช่วงแรกของการรักษา เช่น ค่าผ่าตัด ค่าคีโม ค่าห้องไอซียู หรือค่ากายภาพบำบัด แผนประกันที่จ่ายเงินก้อน (Lump Sum) ทันทีเมื่อวินิจฉัยว่าเป็นโรคร้ายแรง จะช่วยให้ผู้ป่วยมีเงินสดพร้อมใช้โดยไม่ต้องรอการเบิกจ่ายรายงวด ทำให้สามารถตัดสินใจรักษาได้รวดเร็วและครอบคลุม นอกจากนี้ยังช่วยชดเชยรายได้ที่หายไป หากผู้ป่วยต้องหยุดงาน
3. ไม่มีระยะเวลารอคอยระหว่างกลุ่มโรค บางกรมธรรม์จะกำหนด ‘ระยะเวลารอคอยระหว่างกลุ่มโรค’ หมายถึง ถ้าเพิ่งเคลมโรคหนึ่งไปแล้ว ต้องรอเป็นเวลาหลายเดือนจึงจะเคลมอีกโรคหนึ่งที่อยู่ในกลุ่มโรคร้ายแรงเดียวกันได้ แต่สำหรับผู้ที่มีความเสี่ยงสูง เช่น ผู้ที่เป็นความดันโลหิตสูง ซึ่งอาจพัฒนาไปสู่หลายโรคพร้อมกัน (เช่น หัวใจและไต) การเลือกแบบประกันที่ ‘ไม่มีระยะเวลารอคอยระหว่างกลุ่มโรค’ จะทำให้สามารถเคลมได้ต่อเนื่อง หากพบโรคร้ายแรงหลายโรคในเวลาใกล้เคียงกัน ช่วยลดช่องว่างของความคุ้มครอง และลดความเสี่ยงทางการเงิน
4. เลือกวงเงินคุ้มครองที่เหมาะสมกับรายได้และภาระในครอบครัว วงเงินคุ้มครอง (Sum Insured) ควรเพียงพอต่อค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลและค่าครองชีพระหว่างที่ไม่สามารถทำงานได้ เช่น ค่าเดินทาง ค่ากินอยู่ ค่าจ้างผู้ดูแล เป็นต้น แต่ค่าเบี้ยประกันก็ไม่ควรสูงจนเกินกว่าที่ชำระไหวหรือสร้างภาระเกินความจำเป็น เพราะเราเลือกทำประกันเพื่อป้องกันความเสี่ยง ไม่ใช่เพิ่มความเสี่ยง
5. เลือกบริษัทประกันที่มีความมั่นคงทางการเงิน เนื่องจากประกันโรคร้ายแรงมักเป็นกรมธรรม์ระยะยาว บางกรมธรรม์คุ้มครองถึงอายุ 99 ปี จึงควรเลือกบริษัทประกันที่มีความมั่นคงทางการเงิน มีอันดับความน่าเชื่อถือ (Credit Rating) ที่ดี เพราะบริษัทที่มีฐานะการเงินมั่นคงจะมีความสามารถในการจ่ายสินไหมทดแทนได้ตามสัญญาในระยะยาว และให้บริการลูกค้าอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ยังควรดูประวัติการเคลม ความโปร่งใส และบริการหลังการขาย เช่น การให้คำแนะนำเมื่อเจ็บป่วย หรือความสะดวกในการติดต่อเคลม เป็นต้น
ในยุคที่ความเสี่ยงด้านสุขภาพเพิ่มขึ้นจากพฤติกรรมการใช้ชีวิตที่เปลี่ยนไป การมีแค่ประกันสุขภาพอาจไม่เพียงพอ โดยเฉพาะเมื่อตรวจพบโรคเรื้อรังอย่างความดันโลหิตสูง ที่สามารถพัฒนาไปสู่โรคร้ายแรงอื่น ๆ ได้ในเวลาอันรวดเร็ว ดังนั้น การวางแผนล่วงหน้าด้วยการเลือกทำประกันโรคร้ายแรงที่เหมาะสม จึงเป็น ‘เครื่องมือสำคัญ’ ที่ช่วยปกป้องคุณและครอบครัวจากภาระค่าใช้จ่ายที่คาดไม่ถึง อย่ารอให้เจ็บป่วยแล้วค่อยมองหาทางออก เพราะการเตรียมความพร้อม คือ เกราะป้องกันอนาคตที่มั่นคงและดีที่สุด