
สร้าง Passive Income วัยเกษียณ ด้วยเครื่องจักรผลิตเงินสด
นิตยสาร Trust ฉบับที่ 70 | คอลัมน์ Holistic Financial Advisory

Megatrend สังคมผู้สูงอายุได้ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างแก่สังคมไทยในหลากหลายมิติ เช่นเดียวกับในบริบทของการวางแผนการเงินส่วนบุคคล ที่เกิดความเสี่ยงรูปแบบใหม่ที่เรียกว่า ‘Longevity Risk’ หรือ ความเสี่ยงจากการที่คนมีอายุยืนยาวขึ้นเมื่อเทียบกับในอดีต ซึ่งเป็นความท้าทายที่คนวัยเกษียณยุคใหม่ทุกคนต้องเผชิญ ทำให้การวางแผนการเงินที่มีประสิทธิภาพกลายเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้
เป้าหมายขั้นพื้นฐานที่คนวัยเกษียณส่วนใหญ่ต้องการ ก็คือ การมี ‘กระแสเงินสดรับที่สม่ำเสมอ’ เสมือนกับตนเองยังคงมีรายได้จากการทำงานประจำ เพื่อนำเงินเหล่านั้นไปใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน เพียงแต่รูปแบบจะเปลี่ยนไปจากการ “ทำงานหาเงิน (Active Income)” แบบในช่วงวัยก่อนเกษียณ กลายเป็นการ ‘ให้เงินทำงาน (Passive Income)’ ในช่วงหลังเกษียณแทน
อย่างไรก็ตาม การจัดพอร์ตการลงทุนเพื่อให้เงินทำงาน สร้าง Passive Income ในวัยหลังเกษียณในยุคนี้ ไม่สามารถลงทุนเฉพาะแต่ในสินทรัพย์เสี่ยงต่ำ เช่น เงินฝากประจำ หรือเงินฝากออมทรัพย์ ได้อีกต่อไป เนื่องจากผลตอบแทนที่ได้รับอาจไม่เพียงพอต่อค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน หรือ อาจจะต้องใช้เงินลงทุนมหาศาลในการสร้างกระแสเงินสดที่ต้องการ ยกตัวอย่างเช่น หากเราต้องการมี Passive Income 50,000 บาทต่อเดือน เพื่อใช้จ่ายในวัยเกษียณ แต่ฝากเงินทั้งหมดไว้ในบัญชีออมทรัพย์ที่ให้อัตราดอกเบี้ยเพียง 0.5% ต่อปี เราจะต้องมีเงินลงทุนเริ่มต้นที่มากถึง 120 ล้านบาท ในทางกลับกัน หากเราสามารถออกแบบพอร์ตการลงทุนที่สร้างผลตอบแทนเฉลี่ยได้ราว 4% ต่อปี ที่ประกอบไปด้วย ‘เครื่องจักรผลิตเงินสด’ หลากหลายประเภท เราจะใช้เงินลงทุนเริ่มต้นเพียงแค่ 15 ล้านบาทเท่านั้น ซึ่งถือเป็นจำนวนเงินที่เป็นไปได้สำหรับคนวัยเกษียณส่วนใหญ่ในยุคนี้ โดยเครื่องจักรผลิตเงินสดที่จะตอบโจทย์การสร้างพอร์ต Passive Income ให้กับคนวัยเกษียณ ได้แก่ หุ้นปันผลสูง
ปัจจุบัน แม้ว่าตลาดหุ้นไทยจะเผชิญปัญหาเชิงโครงสร้างและการเติบโตทางเศรษฐกิจในระยะยาว ส่งผลให้บริษัทจดทะเบียนที่มีแนวโน้มการเติบโตสูง (Growth Stocks) มีจำนวนที่จำกัด แต่ในทางกลับกัน ตลาดหุ้นไทยถือเป็นแหล่งที่อุดมไปด้วยหุ้นคุณค่า (Value Stocks) ที่ให้ผลตอบแทนจากเงินปันผลอยู่ในระดับสูง ซึ่งเป็นหุ้นกลุ่มที่คนไทยวัยเกษียณสามารถลงทุนเพื่อรับกระแสเงินสด และเพิ่มผลตอบแทนให้กับพอร์ตการลงทุนได้
การเลือกลงทุนหุ้นปันผล ควรจะต้องพิจารณาทั้งจากปัจจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative Factors) เช่น บริษัทเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมและมีความสามารถในการแข่งขันที่ยั่งยืน
กำไรของกิจการมีความสม่ำเสมอและมีแนวโน้มเติบโตได้ในช่วง 3-5 ปีข้างหน้า ทีมผู้บริหารที่มีธรรมาภิบาลสูง ควบคู่ไปกับการพิจารณาปัจจัยเชิงปริมาณ (Quantitative Factors) เช่น อัตราผลตอบแทนจากเงินปันผล (Dividend Yield) เกิน 4% ขึ้นไป, ค่า PE ไม่เกิน 20 เท่า, อัตราผลตอบแทนต่อส่วนของผู้ถือหุ้น (ROE) เกิน 12% ขึ้นไป ซึ่งจากการคัดกรองข้างต้น เราจะได้หุ้นอุตสาหกรรมที่เข้าเกณฑ์ดังกล่าว ได้แก่ หุ้นกลุ่มค้าปลีก หุ้นกลุ่มอาหารและเครื่องดื่ม หุ้นกลุ่มสาธารณูปโภคพื้นฐาน ตลอดจนหุ้นกลุ่มธนาคารพาณิชย์
อย่างไรก็ตาม จุดที่นักลงทุนวัยเกษียณจะต้องระมัดระวังเป็นพิเศษในการเลือกหุ้นปันผลสูง คือ การหลีกเลี่ยงหุ้นวัฏจักร (Cyclical Stocks) ที่ผลประกอบการมักผันผวนไปตามภาวะเศรษฐกิจหรือราคาสินค้าโภคภัณฑ์ เช่น หุ้นกลุ่มน้ำมัน หุ้นกลุ่มปิโตรเคมี หุ้นกลุ่มสายการบิน รวมถึงหุ้นกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ เนื่องจากกำไรของกิจการที่ผันผวนสูง จะส่งผลให้เงินปันผลที่คาดว่าจะได้รับในอนาคต มีความไม่แน่นอนสูงตามไปด้วย อีกทั้งยังอาจนำไปสู่ผลขาดทุน (Capital Loss) จำนวนมากได้ หากเข้าลงทุนช่วงที่อุตสาหกรรมเข้าสู่ช่วงวัฏจักรขาลง

ตราสารหนี้คุณภาพดี
ในทางทฤษฎี ตราสารหนี้อย่างเช่น พันธบัตรรัฐบาล หุ้นกู้บริษัทเอกชน ถือเป็นสินทรัพย์เสี่ยงต่ำที่คนวัยเกษียณนิยมลงทุนมากที่สุด อย่างไรก็ตาม ตราสารหนี้จะเป็นการลงทุนที่ปลอดภัยตามทฤษฎีการเงินเขียนไว้ ก็ต่อเมื่อไม่เกิดการผิดนัดชำระหนี้ เพราะหากการผิดนัดชำระหนี้เกิดขึ้น นักลงทุนวัยเกษียณก็อาจจะต้องสูญเสียเงินลงทุนทั้งหมด ซึ่งอาจทำให้ตราสารหนี้กลายเป็นสินทรัพย์ที่สร้างความเสียหายให้กับพอร์ตการลงทุนได้มากกว่าหุ้นเสียอีก
ในสถานการณ์ปัจจุบันที่อัตราดอกเบี้ยทั่วโลกปรับตัวขึ้นมาอยู่ในระดับสูงสุดในรอบทศวรรษ การลงทุนในตราสารหนี้ต่างประเทศ ถือว่าเป็นการลงทุนที่น่าสนใจ เพราะให้ผลตอบแทนสูงและมีความเสี่ยงต่ำ ยกตัวอย่างเช่น พันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ที่ให้ผลตอบแทน (Yield) ราว 3.8 – 4% รวมไปถึงหุ้นกู้บริษัทเอกชนคุณภาพดีในกลุ่มประเทศพัฒนาแล้ว ทั้งสหรัฐฯ สหราชอาณาจักรและสหภาพยุโรป ที่ให้ผลตอบแทนโดยเฉลี่ยที่สูงถึง 4 – 5% มากกว่าหุ้นกู้เอกชนคุณภาพดีในไทยที่ให้ผลตอบแทนเพียง 2-3% เท่านั้น ทั้งนี้ การลงทุนในตราสารหนี้ควรมีการกระจายความเสี่ยงเป็นอย่างดี โดยนักลงทุนสามารถเลือกใช้เครื่องมืออย่างกองทุนรวมตราสารหนี้ในรูปแบบที่มีการขายคืนหน่วยลงทุนอัตโนมัติ (Auto Redemption) เพื่อสร้างกระแสเงินสดจากการลงทุนที่สม่ำเสมอ
ทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ (REITs)
การลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ เพื่อคาดหวังกระแสเงินสดจาก ‘ค่าเช่า’ ถือเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่น่าสนใจสำหรับวัยเกษียณ อย่างไรก็ตาม การลงทุนในอสังหาริมทรัพย์โดยตรง เป็นการลงทุนที่มีต้นทุนค่อนข้างสูง ทั้งต้นทุนที่เป็นตัวเงินและต้นทุนที่ไม่ใช่ตัวเงิน เช่น ต้นทุนการบำรุงรักษา ต้นทุนในการเดินทางเพื่อสำรวจทำเล ซึ่งอาจไม่ตอบโจทย์ของคนวัยเกษียณที่มีอายุมากและควรจะใช้เวลาช่วงหลังเกษียณไปกับกิจกรรมอื่นๆ เช่น การท่องเที่ยว การดูแลลูกหลาน
REITs (Real Estate Investment Trusts) คือ กองทรัพย์สินที่ระดมเงินจากนักลงทุน เพื่อไปลงทุนในอสังหาริมทรัพย์หลากหลายประเภท โดยคาดหวังผลตอบแทนจากค่าเช่าจากอสังหาริมทรัพย์ประเภทต่าง ๆ ที่กอง REITs เข้าไปลงทุน เช่น ออฟฟิศสำนักงาน ห้างสรรพสินค้า คลังสินค้า โรงแรม สนามบิน ตลอดจนเสาสัญญาณโทรคมนาคม
โดยกอง REITs จะนำค่าเช่าที่เก็บได้มาจ่ายให้ผู้ถือหน่วยในรูปแบบของเงินปันผล ซึ่งมีความสม่ำเสมอคล้ายกับการจ่ายดอกเบี้ยของตราสารหนี้ แต่สามารถปรับเพิ่มขึ้นได้ในระยะยาวคล้ายกับเงินปันผลของหุ้น อันเนื่องมาจากการปรับค่าเช่าที่เพิ่มขึ้นตามภาวะเงินเฟ้อ โดยปัจจุบันอัตราผลตอบแทนเงินปันผลโดยเฉลี่ยของ REITs ไทยอยู่ที่ระดับสูงถึง 8% ถือเป็นระดับเงินปันผลที่น่าสนใจ
จุดสำคัญที่นักลงทุนต้องพิจารณาก่อนการลงทุน REITs ก็คือ ประเภทของ REITs เป็นแบบใด เนื่องจากหากเป็นกรณีแบบ Leasehold จะเป็นการลงทุนใน ‘สิทธิการเช่า’ ซึ่งนักลงทุนไม่มีกรรมสิทธิ์ในอสังหาริมทรัพย์ที่ลงทุน ทำให้มูลค่าของ REITs จะทยอยปรับลดลงจนเหลือศูนย์เมื่ออายุสัญญาเช่าสิ้นสุดลง ซึ่งตรงกันข้ามกับ REITs ประเภท Freehold ที่นักลงทุนเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในอสังหาริมทรัพย์ที่ลงทุน ทำให้ความเสี่ยงที่มูลค่าของ REITs จะลดลงค่อนข้างต่ำและยังได้รับเงินปันผลที่สม่ำเสมอด้วย นอกจากนี้ นักลงทุนยังควรพิจารณาประเภทสินทรัพย์ที่กอง REITs ลงทุน ประกอบกับอัตราการเช่าเฉลี่ยและสัดส่วนหนี้สิน เพื่อลดความเสี่ยงในการลงทุน
ประกันบำนาญ
การสร้างกระแสเงินสดในวัยเกษียณสามารถทำผ่านผลิตภัณฑ์ประกันชีวิตได้เช่นเดียวกัน ประกันบำนาญถือเป็นประกันชีวิตที่ถูกออกแบบมาสำหรับการออมเพื่อวัยเกษียณโดยเฉพาะ เพราะมีการจ่าย ‘เงินคืน’ หรือ ‘เงินบำนาญ’ ที่สม่ำเสมอให้กับผู้เอาประกันในช่วงหลังเกษียณ โดยที่ผู้เอาประกันจะต้องจ่ายเบี้ยประกันในช่วงก่อนเกษียณ ภายในระยะเวลาที่กรมธรรม์กำหนด
ลักษณะพิเศษของประกันบำนาญ คือ การเน้นจ่ายผลประโยชน์ตามการดำรงชีวิต (Living Benefits) โดยจะเริ่มจ่ายเงินบำนาญตั้งแต่วันที่ผู้เอาประกันเกษียณตอนอายุ 55 ปี หรือ 60 ปี ยาวไปจนถึงวันที่ผู้เอาประกันเสียชีวิตหรือถึงวันครบกำหนดตามสัญญากรมธรรม์ เช่น อายุ 90 หรือ 99 ปี หมายความว่า ยิ่งผู้เอาประกันมีอายุยืนยาวมากเท่าไร จะยิ่งได้รับกระแสเงินสดจากประกันบำนาญมากขึ้นเท่านั้น นอกจากนี้ กระแสเงินสดที่ได้รับจากประกันบำนาญมีความแน่นอนสูง ไม่ผันผวนตามภาวะเศรษฐกิจหรือภาวะตลาด ทำให้ประกันบำนาญเป็นเครื่องมือบริหาร Passive Income ที่มั่นคง ช่วยลดความเสี่ยงจากการขาดรายได้ในวัยหลังเกษียณ และมีความเสี่ยงต่ำกว่าสินทรัพย์ลงทุนประเภทอื่น ๆ
คำแนะนำในการเลือกประกันบำนาญ ควรให้ความสำคัญกับฐานะทางการเงินของบริษัทประกันมากที่สุด เพราะการทำประกันบำนาญเป็นภาระผูกพันในระยะยาว นับตั้งแต่วันที่เริ่มทำสัญญาไปจนถึงวันที่เราเสียชีวิต อีกทั้งควรเลือกแบบประกันบำนาญที่จ่ายผลประโยชน์สูงเมื่อเทียบกับทุนประกัน และที่สำคัญ ควรเริ่มทำประกันบำนาญตั้งแต่อายุยังน้อย เพราะเบี้ยประกันจะต่ำและทำให้ผลตอบแทนที่ได้รับจากประกันบำนาญมีความคุ้มค่ามากยิ่งขึ้น

จัดพอร์ตสร้าง Passive Income
ยกตัวอย่างเช่น คุณ J ต้องการได้รับกระแสเงินสดเดือนละ 50,000 บาท (6 แสนบาทต่อปี) ไปตลอดช่วงชีวิตหลังเกษียณ ด้วยเงินลงทุนเริ่มต้น 12 ล้านบาท คุณ J สามารถจัดพอร์ตด้วยการลงทุนหุ้นปันผลจำนวน 3 ล้านบาท ลงทุนกอง REITs จำนวน 3 ล้านบาท และลงทุนตราสารหนี้ต่างประเทศจำนวน 6 ล้านบาท ด้วยสัดส่วนดังกล่าว คุณ J ก็สามารถคาดหวังผลตอบแทนเฉลี่ยที่ 5% ต่อปีได้และมี Passive Income ตามที่คาดหวังไว้
อย่างไรก็ดี คุณ J ทราบดีว่า การลงทุนมีความเสี่ยงที่จะไม่ได้รับผลตอบแทนตามที่คาดไว้ ดังนั้น ในช่วงอายุ 35 ปี คุณ J จึงตัดสินใจสร้างระบบบำนาญให้แก่ตนเอง ด้วยการทำประกันบำนาญที่มีทุนประกัน 6 แสนบาท โดยชำระเบี้ยประกัน 7.4 หมื่นบาทต่อปี (6.14 พันบาทต่อเดือน) ตั้งแต่อายุ 35 ปีไปจนถึงอายุ 60 ปี ส่งผลให้ คุณ J จะได้รับเงินบำนาญปีละ 120,000 บาทต่อปี หรือ 10,000 บาทต่อเดือนอย่างสม่ำเสมอไปตลอดช่วงชีวิตหลังเกษียณ โดยกระแสเงินสดที่รับในแต่ละปีคิดเป็น 20% ของทุนประกัน การทำประกันบำนาญของนาย J จึงถือเป็นการสร้าง “กันชน” ที่มั่นคงเพื่อรองรับความไม่แน่นอนจากพอร์ตการลงทุนที่อาจเกิดขึ้นในช่วงหลังเกษียณ
จะเห็นได้ว่าการวางแผนเกษียณที่มีประสิทธิภาพ เป็นเรื่องที่ค่อนข้างมีความซับซ้อนและต้องอาศัยผลิตภัณฑ์ทางการเงินหลากหลายประเภทในการบรรลุเป้าหมาย ซึ่งอาจเป็นเรื่องที่ยากสำหรับใครหลายคน ธนาคารทิสโก้จึงได้พัฒนาโปรแกรมวางแผนการเงินอย่าง TISCO My Goal เพื่อเปลี่ยนการวางแผนการเงินของคุณให้กลายเป็นเรื่องที่สะดวก รวดเร็วและเป็นระบบ ทำให้คุณสามารถวางแผนการเงินแบบองค์รวมทั้งการลงทุน ประกันและภาษี ได้เพียงแค่ปลายนิ้วสัมผัส

การวางแผนสร้าง Passive Income หลังเกษียณที่ดีที่สุด คือการเริ่มต้นวางแผนตั้งแต่วันนี้ ก่อนที่เราจะเกษียณ เพราะเป็นช่วงที่เรายังมีรายได้จากการทำงานประจำ มีกระแสเงินสดรับเข้ามาอย่างสม่ำเสมอและมีระยะเวลาที่มากเพียงพอในการสะสมเงินทุนและปรับเปลี่ยนแผนเกษียณ ทั้งนี้ การที่เราสามารถเลือกเครื่องจักรผลิตเงินสดที่สร้างผลตอบแทนได้อย่างเหมาะสม บนความเสี่ยงที่ยอมรับได้ จะทำให้ ‘ความเสี่ยงจากการตายช้า’ กลายเป็น ‘ความสุขที่มีอายุยืนยาว’ เป็นชีวิตเกษียณที่มีคุณภาพ จากการได้รับกระแสเงินสดที่พอกพูนมากขึ้นอย่างต่อเนื่องทุก ๆ ปีตราบเท่าที่ยังมีลมหายใจ