
เกษียณอย่างเกษม ด้วยการวางแผนภาษี
นิตยสาร Trust ฉบับที่ 71 | คอลัมน์ Holistic Financial Advisory

เมื่อเข้าสู่วัยเกษียณ หลายคนมองว่าภาระการยื่นภาษีจะหมดไปพร้อมกับรายได้ประจำ แต่ความเป็นจริงคือรายได้ช่วงหลังเกษียณเปลี่ยนแปลงไป สู่การดึงกระแสเงินสดจากสินทรัพย์ที่ได้สะสมไว้ เช่น เงินปันผล ดอกเบี้ย เงินปันผล นอกจากจะมีภาระในการยื่นภาษีแล้ว รายได้บางประเภทยังถูกหักภาษี (Final Tax) ไว้ล่วงหน้า ซึ่งการบริหารจัดการภาษียังรวมถึงการเข้าใจประเภทเงินได้ สิทธิพิเศษที่เพิ่มขึ้นสำหรับวัยเกษียณ รวมถึงความสำคัญในการเตรียมตัวส่งต่อมรดก จะทำให้บริหารเงินได้อย่างมีประสิทธิภาพ
รายได้วัยเกษียณ: เปลี่ยนแหล่งที่มาแต่ไม่หายไป
ในวัยทำงาน รายได้ส่วนใหญ่มักมาจากเงินเดือนหรือโบนัส ซึ่งเป็นรายได้ประจำที่สามารถคาดการณ์ได้ง่าย ทุกสิ้นเดือนจะมีเงินโอนเข้าบัญชี พร้อมกับการวางแผนใช้จ่ายที่ชัดเจน อย่างไรก็ตาม เมื่อถึงเวลาที่ต้องเกษียณอายุในการทำงาน รายได้จากการทำงานประจำจะหยุดลง แต่ไม่ได้หมายความว่ารายได้จะหายไปทั้งหมด หากมีการวางแผนการเงินที่ดี รายได้จะถูกแทนที่ด้วยผลตอบแทนจากสินทรัพย์ที่สะสมมาตลอดช่วงชีวิตการทำงาน
แหล่งรายได้หลักในวัยเกษียณมักประกอบด้วย
- ดอกเบี้ยเงินฝากและพันธบัตร ซึ่งให้ผลตอบแทนที่ค่อนข้างมั่นคง สม่ำเสมอ
- เงินปันผลจากหุ้นหรือกองทุนรวม ที่อาจมีความผันผวนตามผลประกอบการ
- เงินบำนาญหรือเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ ซึ่งได้รับอย่างสม่ำเสมอตามนโยบายของรัฐหรือกองทุนบำเหน็จบำนาญ
แต่ละแหล่งรายได้มีรูปแบบการเสียภาษีที่แตกต่างกัน ทำให้การวางแผนภาษีในวัยเกษียณมีความสำคัญมากขึ้น
ภาษีวัยเกษียณ: ซับซ้อนกว่าเดิม
หลายคนอาจคิดว่าหลังเกษียณ ภาระภาษีจะลดลงเพราะไม่มีรายได้จากเงินเดือน แต่ในความเป็นจริง ภาษีในวัยเกษียณกลับมีความซับซ้อนยิ่งขึ้น เนื่องจากรายได้มาจากหลากหลายแหล่ง และต้องพิจารณาว่ารายได้แต่ละประเภทจะถูกจัดเก็บภาษีในรูปแบบใด ตัวอย่างเช่น
- ดอกเบี้ยเงินฝากจะถูกหักภาษี ณ ที่จ่าย 15% หากไม่ได้ยื่นขอยกเว้นภาษีสำหรับดอกเบี้ยที่ไม่เกิน 30,000 บาทต่อปี สำหรับผู้ที่อายุ 55 ปีขึ้นไป
- เงินปันผลจากหุ้นหรือกองทุนรวมจะถูกหักภาษี ณ ที่จ่าย 10% และสามารถใช้สิทธิเครดิตภาษีเงินปันผลได้
- ค่าเช่าอสังหาริมทรัพย์ต้องนำมาคำนวณภาษีแบบรายได้สุทธิ โดยหักค่าใช้จ่ายตามอัตราที่กำหนด
ความซับซ้อนเหล่านี้ทำให้ผู้เกษียณต้องพิจารณาอย่างรอบคอบว่าจะเลือกเสียภาษี ณ ที่จ่าย หรือจะนำรายได้ทั้งหมดมารวมคำนวณในแบบแสดงรายการภาษีเพื่อให้ได้รับเงินคืนบางส่วน

สิทธิประโยชน์ทางภาษี: ข้อได้เปรียบด้านภาษีสำหรับวัยเกษียณ
รัฐบาลได้กำหนดสิทธิประโยชน์ทางภาษีหลายประการสำหรับผู้สูงอายุ ซึ่งช่วยลดภาระภาษีและเพิ่มรายได้สุทธิ ตัวอย่างเช่น
- อายุ 55 ปีขึ้นไป ได้รับการยกเว้นภาษีเงินฝากประจำ 1 ปี หากดอกเบี้ยรวมไม่เกิน 30,000 บาทต่อปี
- อายุ 65 ปีขึ้นไป ได้รับการยกเว้นภาษีเงินได้ 190,000 บาทแรก ช่วยลดฐานภาษีสำหรับรายได้ที่เหลือ
สิทธิประโยชน์เหล่านี้ช่วยให้ผู้เกษียณสามารถบริหารรายได้หลังหักภาษีได้อย่างมีประสิทธิภาพ และยังช่วยลดต้นทุนทางการเงินในระยะยาว

หากเลือกยื่นขอคืนภาษี โดยไม่มีรายได้และการลดหย่อนอื่น จะทำให้มีรายการลดหย่อน 2 รายการ รวม 160,000 บาท จะทำให้รายได้สุทธิส่วนที่เกินต้องเสียภาษี 2,524.95 บาท หรือได้คืนภาษีที่จ่ายไปล่วงหน้าแล้วเกือบทั้งจำนวน และหากในกรณีอายุเกินกว่า 65 ปี ได้รับสิทธิประโยชน์ยกเว้นรายได้ 190,000 บาท เพิ่มเติม จะทำให้สามารถขอคืนเงินคืนภาษีได้ทั้งจำนวน เปรียบเสมือนได้เงินปันผลเพิ่มจากเดิมอีกราว 14–15%


เงินได้ที่ได้รับการยกเว้นภาษี
แม้ว่ารายได้ส่วนใหญ่จะต้องเสียภาษี แต่ยังมีรายได้บางประเภทที่ได้รับการยกเว้นภาษี และสามารถนำมาประยุกต์ใช้ในการบริหารภาษีได้ เช่น
- เงินคืนจากประกันบำนาญ ไม่ถือเป็นรายได้ต้องเสียภาษี และยังช่วยสร้างกระแสเงินสดที่มั่นคง นอกจากนี้ ในช่วงที่ยังมีรายได้ประจำยังสามารถนำค่าเบี้ยไปลดหย่อนภาษีได้
- กำไรจากการขายกองทุนรวม ไม่ต้องเสียภาษี Capital Gain ซึ่งเหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการกระแสเงินสดโดยไม่เสียภาษีเงินปันผล สามารถนำมาประยุกต์ใช้สร้างกระแสเงินสดผ่านกองทุนชนิดมี Auto Redemption แทนกองทุนปันผล
ทริกในการวางแผนภาษี: เพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารสูงสุด
การวางแผนภาษีในวัยเกษียณไม่ใช่เพียงเรื่องของการลดภาระภาษี แต่ยังเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารสินทรัพย์และกระแสเงินสด ตัวอย่างเครื่องมือที่สามารถใช้ได้ ได้แก่
- กองทุนรวมที่มีการซื้อคืนหน่วยลงทุนอัตโนมัติ (Auto Redemption) แทนที่จะรับเงินปันผลที่ต้องเสียภาษี 10% การเลือกกองทุนที่มีการไถ่ถอนหน่วยลงทุนอัตโนมัติจะช่วยลดภาระภาษี และยังได้รับเงินสดในลักษณะเดียวกับเงินปันผล
- กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) สำหรับผู้ที่ยังมีรายได้สูงหลังเกษียณ เช่น จากการลงทุนหรือธุรกิจส่วนตัว การลงทุนใน RMF ยังคงช่วยลดหย่อนภาษีได้ โดยสามารถลงทุนต่อเนื่องเพียง 5 ปี เพื่อให้มีสิทธิ์ในการลดหย่อนเพิ่มเติม
- เลือกการหักภาษีแบบ Final Tax หากรายได้บางประเภท เช่น ดอกเบี้ยเงินฝาก ถูกหักภาษี ณ ที่จ่ายไปแล้ว อาจจะเลือกไม่รวมรายได้นั้นในการยื่นแบบภาษี หากฐานภาษีเงินได้รวมสูงกว่า Final Tax ตัวอย่างเช่น ฐานภาษี 10% สำหรับเงินปันผลจากกองทุนรวม และฐานภาษี 15% สำหรับดอกเบี้ยเงินฝาก
เตรียมวางแผนส่งต่อมรดก
การเตรียมวางแผนส่งต่อมรดกเป็นหนึ่งในการวางแผนภาษีเพื่อคนข้างหลังที่มีความสำคัญ โดยเฉพาะหลังจากมีการเริ่มบังคับใช้ พรบ.ภาษีการรับมรดก พ.ศ. 2558 กำหนดให้เสียภาษีเฉพาะส่วนที่เกินมูลค่า 100 ล้านบาท ในอัตรา 5% เมื่อผู้รับมรดกเป็นบุพการีหรือทายาท และอัตรา 10% สำหรับคนทั่วไป
ตัวอย่างเช่น นายเออายุ 70 ปี มีทรัพย์สินสุทธิ 250 ล้านบาท และมีทายาท 2 คน เมื่อนายเอเสียชีวิต ทายาทได้รับมรดกเท่ากันคนละ 125 ล้านบาท ส่วนเกินมรดก 25 ล้านบาท ทายาทต้องเสียภาษีในอัตรา 5% ซึ่งทายาทจะมีภาระภาษีมรดกคนละ 1.25 ล้านบาทซึ่งอาจจะกระทบต่อสภาพคล่องของทายาทได้

ปัญหาภาระภาษีจากมรดกสามารถใช้เครื่องมืออย่างประกันชีวิตแก้ปัญหาได้อย่างมีประสิทธิภาพ เนื่องจากจุดเด่นของผลิตภัณฑ์ที่สามารถระบุผู้รับผลประโยชน์ได้ทำให้ได้รับเงินสินไหมอย่างรวดเร็ว รวมถึงเงินประกันยังได้รับการยกเว้นภาษีทำให้สามารถกำหนดเงินรับผลประโยชน์ที่แน่นอนได้
โดยสรุปแล้ว การเกษียณเหมือนการเดินทางเข้าสู่ความท้าทายใหม่ ทั้งด้านภาษีไม่ว่าจะเป็นแหล่งรายได้ รูปแบบการวางแผนภาษีที่เปลี่ยนไป รวมถึงต้องคิดถึงการส่งต่อมรดกให้กับคนข้างหลังให้มีความราบรื่น ไม่ติดขัดด้านการเงิน และผลลัพธ์ที่ได้จะช่วยให้วัยเกษียณสามารถบริหารเงินก้อนสุดท้ายได้มีประสิทธิภาพแบบ เกษียณสุข เกษียณสำราญ เกษียณหายห่วงได้