
Poland - From Medieval Magic to Modern Marvel ‘โปแลนด์’ ดินแดนรุ่มรวยประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งยุโรปกลาง
นิตยสาร Trust ฉบับที่ 71 | คอลัมน์ Horizon

ฉบับต้อนรับศักราชใหม่นี้ ขอพาผู้อ่านทุกท่านไปเยือน ‘สาธารณรัฐโปแลนด์ (Republic of Poland)’ ประเทศในกลุ่มยุโรปกลาง (Central Europe) ที่สามารถสืบย้อนหลักฐานประวัติศาสตร์กลับไปได้ยาวนานกว่าหนึ่งพันปี โดดเด่นไปด้วยความหลากหลายทางสถาปัตยกรรมตั้งแต่ปราสาทของราชวงศ์เก่าแก่ เรื่อยไปจนถึงโบสถ์ไม้เรียบง่าย พื้นที่ทางด้านเหนือจรดทะเลบอลติก (Baltic Sea) ขณะที่ทิศใต้จรดเทือกเขาคาร์เพเทียน (Carpathian Mountains) ที่มีความยาวเป็นอันดับสามในทวีปยุโรป ทำให้โปแลนด์มีความหลากหลายทางภูมิประเทศ ทั้งพื้นที่ราบ ป่าไม้ เทือกเขา ทะเลสาบ หาดทราย เกาะ และทะเล
นอกจากธรรมชาติที่สวยงามตระการตาของภูมิทัศน์ทางธรรมชาติแล้ว ที่นี่ยังมีกิจกรรมกลางแจ้งต่าง ๆ มากมาย ทั้งสกี เรือใบ ขี่ม้า ปั่นจักรยาน เดินป่า เพื่อรองรับความต้องการและสร้างประสบการณ์ที่หลากหลายให้กับผู้มาเยือน รวมทั้งยังมีเอกลักษณ์ของอาหารที่โดดเด่น ‘โปแลนด์’ จึงเป็นหนึ่งจุดหมายปลายทางเปี่ยมเสน่ห์แห่งยุโรปกลางที่ได้รับความนิยมขึ้นเรื่อย ๆ ทั้งจากนักท่องเที่ยวในภูมิภาคยุโรปและจากทั่วโลก
Krakow - Poland's Medieval Jewel
แนะนำให้เริ่มต้นทริปที่ ‘คราเคา (Krakow)’ อดีตเมืองหลวงของโปแลนด์ที่คงสถานะมากว่า 500 ปี ก่อนจะเปลี่ยนเมืองหลวงไปเป็น ‘กรุงวอร์ซอ’ โดย ‘คราเคา’ เป็นเมืองที่มีนักท่องเที่ยวมาเยือนมากที่สุดในประเทศ มีความโดดเด่นอย่างยิ่งด้วยสถาปัตยกรรมวิจิตรในเขตเมืองเก่าที่บอกเล่าเรื่องราวของประวัติศาสตร์ในทุกตารางเมตร
หนึ่งในจุดเช็กอินห้ามพลาดคือ ‘ปราสาทวาเวล (Wawel Royal Castle)’ ที่ตั้งตระหง่านบนเนินเขาหินปูน ณ ริมแม่น้ำวิสทูลา (Vistula River) ซึ่งถือว่าเป็นโบราณสถานที่สำคัญที่สุดของโปแลนด์ที่มีอายุยาวนานกว่า 1,000 ปี และเป็นหนึ่งในมรดกโลกของยูเนสโก (UNESCO) โดดเด่นด้วยสถาปัตยกรรมผสมผสานระหว่างศิลปะยุคกลาง (Medieval) เรอเนสซองส์ (Renaissance) และบาโรก (Baroque) จากอดีต เคยเป็นที่ประทับของกษัตริย์โปแลนด์ ปัจจุบันได้กลายเป็นพิพิธภัณฑ์ศิลปะชั้นนำที่มีจำนวนผู้เข้าเยี่ยมชมมากที่สุดในประเทศ จัดแสดงทั้งภาพวาดยุคเรอเนสซองส์ พรมทอของราชวงศ์ และคอลเลกชันเต็นท์ออตโตมัน (Ottoman Tent) ไม่ไกลกันคือที่ตั้งของ ‘มหาวิหารวาเวล (Wawel Cathedral)’ และ ‘ถ้ำมังกร (Dragon Den)’ อันเป็นที่มาของตำนานมังกรอันโด่งดังของเมืองที่ยังคงเล่าขานกันจนปัจจุบันว่า มังกรเคยครอบครองพื้นที่แห่งนี้มาก่อนมนุษย์ รวมทั้งยังมี ‘รูปปั้นมังกร (Wawel Dragon)’ ซึ่งถือเป็นหนึ่งในสัญลักษณ์ของเมือง
‘คราเคา’ ยังมีสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจต่าง ๆ มากมาย หนึ่งในนั้นคือ ‘ถ้ำเหมืองเกลือ (Wieliczka Salt Mine)’ ที่อยู่ออกนอกเมืองไปเล็กน้อย เป็นหนึ่งในเหมืองเกลือที่เก่าแก่ที่สุดในโลก ด้วยประวัติการขุดเจาะยาวนานกว่า 700 ปี มีความลึกถึง 327 เมตร ปัจจุบันได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกจากยูเนสโก (UNESCO) โดดเด่นด้วยห้องโถงที่แกะสลักจากเกลือทั้งหมด ไฮไลต์สำคัญคือ ‘มหาวิหารเซนต์คิงก้า (St. Kinga’s Chapel)’ ที่แม้จะอยู่ใต้ดินก็ยังวิจิตรงดงามตั้งแต่โคมระย้าไปจนถึงแท่นบูชาที่ล้วนแกะสลักจากผลึกเกลือ นอกจากนี้ ยังมีอุโมงค์มากมาย ทะเลสาบใต้ดิน ประติมากรรมเกลือ และห้องโถงขนาดใหญ่ ที่บอกเล่าเรื่องราวการทำเหมืองเกลือของโปแลนด์ตั้งแต่ครั้งอดีต



One-Day-Trip to Zakopane
สำหรับผู้ที่ชื่นชอบความงามของลักษณะภูมิประเทศแบบเทือกเขา แนะนำให้จัดสรรเวลาเดินทางไป–กลับเยี่ยมชมความงามของ ‘ซาโกปาเน (Zakopane)’ เมืองตากอากาศชื่อดังทางตอนใต้ของโปแลนด์ ซึ่งอยู่ห่างจากคราเคาเพียงสองชั่วโมง ‘ซาโกปาเน’ คือเมืองรีสอร์ทในอ้อมกอด ‘เทือกเขาทาทรา (Tatra Mountains)’ สามารถนั่งกระเช้าขึ้นสู่ ‘ยอดเขากูบาวูฟก้า (Gubałówka)’ เพื่อชมวิวพาโนรามา เดินเล่นที่ ‘ถนนครูปูฟกี้ (Krupówki Street)’ เพื่อสัมผัสวัฒนธรรมท้องถิ่น ลิ้มรสชีสรมควันแบบดั้งเดิม และชื่นชมสถาปัตยกรรมบ้านไม้อันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะของท้องถิ่น นอกจากจะเดินทางไปเที่ยวแบบไป–กลับจากคราเคาแล้ว ผู้ที่ชื่นชอบการเล่นกีฬากลางแจ้งยังสามารถวางแผนการเดินทางเพื่อมาพักที่นี่ สำหรับทริปการเล่นสกีในฤดูหนาว หรือจะเป็นการปีนเขาในช่วงหน้าร้อนก็ได้เช่นกัน
Warsaw - Phoenix of Modern Poland
‘กรุงวอร์ซอ (Warsaw)’ ต่างจาก ‘คราเคา’ ตรงที่ยังอวลกลิ่นอายของยุคกลาง วอร์ซอเป็นเมืองหลวงในปัจจุบันบอกเล่าเรื่องราวที่แตกต่างของโปแลนด์ ทว่ามีเสน่ห์และน่าสนใจไม่แพ้กัน สงครามโลกครั้งที่ 2 ส่งผลให้เกิดซากปรักหักพังในเมืองนี้ถึงกว่า 90% ของสิ่งปลูกสร้าง แต่วอร์ซอก็ผงาดขึ้นมาอีกครั้งราวกับนกฟีนิกซ์ที่ชุบชีวิตจากกองเถ้าถ่าน เมืองที่สร้างใหม่ กลายเป็นส่วนผสมที่ลงตัวระหว่างมหานครทันสมัยและสถาปัตยกรรมจากยุคโบราณที่ได้รับการบูรณะอย่างประณีต บรรยากาศที่ผสานความเก่าแก่เข้ากับวิถีชีวิตสมัยใหม่ ทำให้วอร์ซอแตกต่างอย่างชัดเจนจากบรรยากาศของคราเคาที่อัดแน่นด้วยมรดกตกทอดจากอดีต
‘วอร์ซอ’ ในปัจจุบันเต็มไปด้วยพลังงานของความทันสมัยและความคิดสร้างสรรค์ เราแนะนำให้เริ่มทำความรู้จักเมืองด้วยการไปเดินเล่นที่ย่านยอดนิยมของคนท้องถิ่น นั่นก็คือ ‘ถนนโนวี เชวียต (Nowy Świat)’ มีความหมายว่าถนนโลกใหม่ (New World Street) คือหัวใจแห่งวัฒนธรรมคาเฟ่ของเมือง ชวนให้นึกถึงบรรยากาศแบบปารีส ด้วยความคึกคักของสองข้างทาง โดดเด่นด้วยอาคารสวยงาม เต็มไปด้วยคาเฟ่สุดเก๋ ร้านอาหารชื่อดัง และร้านบูทีคดีไซน์สวย ที่นี่เป็นจุดนัดพบยอดนิยมของทั้งชาวท้องถิ่นและนักท่องเที่ยว หากอยากได้บรรยากาศที่มีชีวิตชีวามากขึ้นแนะนำให้มาเที่ยวกันในช่วงสุดสัปดาห์ เพราะจะได้เจอกับคนในพื้นที่และคนต่างถิ่นนั่งจิบกาแฟที่คาเฟ่ริมทาง และดื่มด่ำกับบรรยากาศเมืองไปด้วยกันอย่างกลมกลืน สำหรับผู้ที่ชอบของหวาน อย่าพลาด ‘ร้านชีสเค้กคอร์เนอร์ (Cheesecake Corner)’ ที่ขึ้นชื่อเรื่องชีสเค้กแสนอร่อยและกาแฟคุณภาพดี
‘ถนนโนวี เชวียต’ ยังเป็นหนึ่งในถนนสามสายที่รวมกันเรียกว่าเส้นทางหลวง (Royal Route) ซึ่งเป็นจุดเช็กอินที่มีความสำคัญที่สุดของกรุงวอร์ซอ บนถนนทั้งสามสายที่เรียงกันจากทิศเหนือจรดใต้นี้ คือเส้นทางที่บอกเล่าเรื่องราวของยุคทองแห่งโปแลนด์ทอดยาวผ่านถนนแห่งประวัติศาสตร์ เริ่มต้นจากถนนคราคอฟสเกีย พเชดเมียชเชีย (Krakowskie Przedmieście) ไปยังถนนโนวี เชวียตที่เต็มไปด้วยชีวิตชีวา และทอดยาวไปตามถนนอาเลเย อูยาซดอฟสเกีย (Aleje Ujazdowskie) ที่ร่มรื่นด้วยแนวต้นไม้สองข้างทาง ระหว่างทางของเส้นทางหลวงเต็มไปด้วยสถานที่สำคัญต่าง ๆ มากมาย ไม่ว่าจะเป็น ‘โบสถ์โฮลี่ครอส (Holy Cross Church)’ อันเป็นที่เก็บรักษาหัวใจของโชแปง (Frédéric François Chopin) นักดนตรีคลาสสิกชื่อดัง (ร่างของเขาถูกฝังไว้ในสุสานแปร์ลาแชส ณ กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส) เมื่อเดินไปอีกจะได้เจอกับ ‘อนุสาวรีย์ของนิโคลัส โคเปอร์นิคัส (Nicolaus Copernicus)’ นักดาราศาสตร์ชื่อดังชาวโปแลนด์ ที่ประกาศผ่านการตีพิมพ์หนังสือว่าโลกไม่ใช่ศูนย์กลางของจักรวาล แต่เป็นดวงอาทิตย์ การค้นพบของเขาทำให้มุมมองของมนุษย์ที่มีต่อดาราศาสตร์และโลกไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป
เส้นทางหลวงดำเนินเรื่อยไปจนถึง ‘จัตุรัสปราสาท (Castle Square)’ ที่ตั้งของ ‘ปราสาทหลวง (Royal Castle)’ และย่านเมืองเก่า (Old Town) ตลอดทั้งสายของถนนทั้งสามต่างร้อยเรียงเรื่องราวสำคัญในประวัติศาสตร์ ดำเนินควบคู่ไปกับวิถีชีวิตของชาวเมืองปัจจุบัน



Gdańsk - Baltic's Golden Harbor
จากวอร์ซอแนะนำให้เดินทางขึ้นไปทางตอนเหนือของประเทศซึ่งจรดชายฝั่งทะเลบอลติก และเป็นที่ตั้งของเมืองท่าสำคัญ นั่นคือ ‘กดังสก์ (Gdansk)’ ในอดีตที่นี่เคยเป็นเมืองท่าที่ร่ำรวยที่สุด ณ ชายฝั่งทะเลบอลติก รวมทั้งยังเป็นศูนย์กลางการค้าสำคัญของสันนิบาตฮันซา (Hanseatic League Trading Hub) แม้จะถูกทำลายเกือบหมดในสงครามโลกครั้งที่สอง แต่การฟื้นฟูเพื่อกอบกู้จิตวิญญาณของเมืองกลับมาผ่านการบูรณะครั้งใหญ่ ก็ได้สะท้อนให้เห็นหัวใจอันแข็งแกร่งของเมือง เกิดการผสานเรื่องราวหลายศตวรรษเข้ากับไลฟ์สไตล์ร่วมสมัยที่เปี่ยมด้วยชีวิตชีวา ด้วยอิทธิพลของสถาปัตยกรรมจากเนเธอร์แลนด์และเบลเยี่ยม อาคารบ้านเรือนที่ตกแต่งอย่างสวยงามและหน้าจั่วชวนให้นึกถึงอัมสเตอร์ดัมและกรุงบรัสเซลส์ การที่ได้รู้ว่าสถาปัตยกรรมเหล่านี้ล้วนถูกสร้างขึ้นใหม่จากซากปรักหักพัง ยิ่งช่วยเสริมเสน่ห์ให้ภาพรวมของเมืองน่าสนใจมากขึ้น
แหล่งท่องเที่ยวที่โดดเด่นของที่นี่คือย่านเมืองเก่าที่ยังคงร่องรอยของอดีตผ่านอนุสาวรีย์และสถานที่สำคัญต่าง ๆ มี ‘โบสถ์เซนต์แมรี่ (St.Mary Church)’ สไตล์โกธิกที่สร้างขึ้นในศตวรรษที่ 13 เป็นโบสถ์อิฐที่ใหญ่ที่สุดในโลก หรือ ‘มหาวิหารหลวง (Royal Chapel)’ ที่ปลูกสร้างตามแบบบาโรก
หากต้องการเดินเล่นชมเมืองในบรรยากาศสวยงาม แนะนำย่านถนนมาเรียกา (Mariacka Street) ที่คู่ขนานไปกับถนนคิงส์โรด (King’s Road) โดยถนนเส้นนี้ทอดยาวจากโบสถ์เซนต์แมรี่ไปจนถึงประตูเซนต์แมรี่ เรียงรายด้วยสถานที่ท่องเที่ยวต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น แกลเลอรี ร้านศิลปะ และเวิร์กช็อปการทำอำพัน ซึ่งเป็นสินค้าขึ้นชื่อของที่นี่มาตั้งแต่ครั้งโบราณ อาคารตามสองข้างทางที่ตกแต่งอย่างงดงาม และมีโคมไฟประดับ จึงสร้างเสน่ห์เฉพาะตัวและได้ขึ้นชื่อว่าเป็นถนนสายโรแมนติกที่สุดของเมือง

Tricity - A Baltic Coastal Trio
‘กดังสก์’ เป็นส่วนหนึ่งของสามเมืองชายฝั่งทะเลบอลติกที่เรียกรวมกันว่า ‘ทรีซิตี้ (Tricity)’ ประกอบด้วยอีกสองเมืองที่อยู่ไม่ใกล้กันคือ ‘โซพอต (Sopot)’ อยู่ห่างไปราว 12 กิโลเมตร และ ‘กดีเนีย (Gdynia)’ อยู่ห่างไปราว 40 กิโลเมตร จากกดังสก์ (Gdańsk) สามารถเดินทางไปเที่ยวชมทั้งสองเมืองแบบไป–กลับได้อย่างสะดวกสบาย หรือหากมีเวลาเพียงพอ การค้างคืนก็จะเปิดโอกาสให้ได้ทำความรู้จักกับอีกสองเมืองได้อย่างลึกซึ้งโดยไม่มีข้อจำกัดเรื่องเวลา
ความโดดเด่นของ ‘โซพอต’ คือการเป็นเมืองตากอากาศริมทะเลที่เป็นส่วนผสมของความเงียบสงบระหว่างที่ผ่อนคลายกับทรีตเมนต์สปาดี ๆ ในช่วงกลางวัน กับซีนคึกคักยามค่ำคืน สามารถเดินเล่นชมเมืองตามแนว ‘ถนนฮีโร่ส์ออฟมอนเต้คาสสิโน (Heroes of Monte Cassino Street)’ ซึ่งเต็มไปด้วยร้านอาหารและคลับ รวมทั้งการไปเก็บภาพที่ระลึกที่ ‘สะพานท่าเทียบเรือโซพอต (Sopot Pier)’ ซึ่งเป็นสะพานไม้ที่ยาวที่สุดในยุโรป หรือจะไปชมละครที่ ‘โรงละครอเทลิเยร์ก็ได้ (Atelier Theatre)’
ส่วน ‘กดีเนีย’ คือเมืองท่าสมัยใหม่ที่มอบบรรยากาศที่เปี่ยมด้วยสีสันและชีวิตชีวา บริเวณทางเดินริมทะเลของที่นี่คือแหล่งรวมร้านกาแฟและร้านอาหาร จึงเป็นจุดสังสรรค์ยอดนิยม ที่นี่ยังมีพิพิธภัณฑ์หลากหลายแห่งที่ให้ความรู้เกี่ยวกับทะเล เช่น พิพิธภัณฑ์สมุทรศาสตร์ (Oceanographic Museum) พิพิธภัณฑ์ทางทะเล (Naval Museum) หรือพิพิธภัณฑ์เรือ หากสนใจชมการแสดงทางวัฒนธรรมก็สามารถไปชมได้ที่โรงละครดนตรี (Music Theatre) หรือโรงละครการแสดง (Drama Theatre) ในช่วงฤดูร้อนของทุกปีระหว่างปลายเดือนมิถุนายนถึงต้นเดือนกรกฎาคม กดีเนียจะมี ‘งานโอเพนเนอร์ (Open’er Festival)’ เป็นเทศกาลดนตรีกลางแจ้งระดับโลก ซึ่งจัดต่อเนื่องกันมาเป็นระยะเวลากว่าสองทศวรรษ ถือเป็นหนึ่งในเทศกาลดนตรีที่โด่งดังและดึงดูดนักท่องเที่ยวสายดนตรีจำนวนมากให้มารวมตัวกันที่นี่เพื่อชมคอนเสิร์ตกลางแจ้งจากศิลปินดังจากนานาประเทศ
โปแลนด์ถือเป็นหนึ่งในประเทศที่มอบการเดินทางแบบครบรสให้แก่นักท่องเที่ยว ทั้งประวัติศาสตร์ยาวนาน รุ่มรวยวัฒนธรรม วิถีชีวิตที่มีชีวิตชีวา ภูมิทัศน์ที่หลากหลายและงดงาม สถาปัตยกรรมหลากสไตล์ รวมถึงอาหารที่อร่อยและมีรสชาติเฉพาะตัว ที่นี่จึงเป็นอีกหนึ่งจุดหมายปลายทางแห่งภูมิภาคยุโรปกลางที่ฝากความประทับใจและทำให้ทุก ๆ การไปเยือนของนักท่องเที่ยวเปี่ยมประสบการณ์อันน่าประทับใจ

