
A Journey through Yunnan's Elite Destinations เยือน 3 เมืองประวัติศาสตร์มณฑลยูนนาน: คุนหมิง ต้าหลี่ และลี่เจียง
นิตยสาร Trust ฉบับที่ 72 | คอลัมน์ Horizon

‘จีน’ อลังการทั้งเรื่องอารยธรรม ประวัติศาสตร์ ธรรมชาติ สถาปัตยกรรม รวมไปถึงอาหารที่อร่อยไม่แพ้ชนชาติใดในโลก อีกทั้งยังมีแหล่งมรดกโลกของยูเนสโก (UNESCO) 59 แห่ง ซึ่งมากเป็นอันดับสองของโลก รองจากอิตาลีที่มี 60 แห่ง ‘จีน’ จึงเป็นจุดหมายที่เหล่านักเดินทางต้องปักหมุดเช็กอินสักครั้ง หลังจากที่พาสปอร์ตไทยสามารถเดินทางเข้าประเทศจีนได้โดยไม่ต้องขอวีซ่าตั้งแต่เดือนมีนาคมปีก่อน ทำให้ตลอดระยะเวลาเกือบหนึ่งปีที่ผ่านมาแดนมังกรยิ่งทวีความนิยมในกลุ่มนักท่องเที่ยวชาวไทย และดูเหมือนว่า ‘เที่ยวจีนครั้งเดียวไม่มีอยู่จริง’ ด้วย นั่นเพราะพื้นที่อันกว้างใหญ่ติดอันดับพื้นที่มากเป็นอันดับสามของโลกตามหลังเพียงแค่รัสเซียและแคนาดา ทำให้แต่ละมณฑลของจีนต่างก็มีเอกลักษณ์และความน่าสนใจที่ชวนให้ค้นหา
ฉบับนี้ เราพาผู้อ่านไปเยือน ‘คุนหมิง ต้าหลี่ และลี่เจียง’ ณ มณฑลยูนนาน ภาคตะวันตกเฉียงใต้ ซึ่งขึ้นชื่อเรื่องความหลากหลายด้านเชื้อชาติ วัฒนธรรม และภูมิประเทศ โดยทั้งสามเมืองมอบประสบการณ์ท่องเที่ยวอันแสนกลมกล่อม ครบรส และสร้างความประทับใจให้แก่นักเดินทางทั่วโลกมาอย่างยาวนาน โดยทั้งสามเมืองล้วนเต็มไปด้วยสถานที่ท่องเที่ยว ‘5A’ ในประเทศจีน ถ้าคุณคิดอยากออกเดินทางสู่เมืองจีนสักครั้งหนึ่งในชีวิต ต้องไปเยือน 3 ดินแดนแห่งมณฑลยูนนานนี้
Kunming-The City of Eternal Spring
‘คุนหมิง’ เป็นเมืองหลวงและเมืองใหญ่ที่สุดของมณฑลยูนนาน เป็นศูนย์กลางทั้งราชการ เศรษฐกิจ คมนาคม และวัฒนธรรม ที่นี่เป็นนครระดับจังหวัดซึ่งเป็นเขตการปกครองระดับที่สองตามโครงสร้างการปกครองของประเทศจีน ด้วยความสูงจากระดับน้ำทะลถึง 1,900 เมตร ส่งผลให้สภาพภูมิอากาศของเมืองมีอุณหภูมิเฉลี่ยทั้งปีราว 15 องศาเซลเซียส จึงไม่ร้อนและไม่หนาวจนเกินไป และมีดอกไม้ผลิบานตลอดทั้งปี ทำให้ที่นี่ได้รับการขนานนามว่าเป็น ‘เมืองแห่งฤดูใบไม้ผลิ’ รวมทั้งยังมีสถานที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติงดงามตระการ จึงเป็นหนึ่งเมืองของจีนที่มีนักท่องเที่ยวเดินทางมาเยือนอย่างไม่ขาดสาย
ก่อนจะไปเที่ยวชมความงามจากธรรมชาติซึ่งถือเป็นไฮไลต์ของคุนหมิง เราแนะนำให้แวะไปสักการะเจ้าแม่กวนอิมที่ ‘วัดหยวนทง (Yuantong Temple)’ วัดที่ใหญ่ที่สุดและเก่าแก่ที่สุดในคุนหมิง มีอายุมากกว่า 1,200 ปี สร้างขึ้นในสมัยราชวงศ์ถัง ผสมผสานสถาปัตยกรรมและศิลปะแบบไทย พม่า และทิเบตเข้าด้วยกัน ภายในวัดมีศาลาแปดเหลี่ยมตั้งอยู่กลางสระมรกต เป็นที่ประดิษฐานเจ้าแม่กวนอิมพันมือและเจ้าแม่กวนอิมแบบพม่า ชาวท้องถิ่นนิยมมาขอพรเรื่องบุตรหลาน ความรัก และสุขภาพ เพราะเชื่อกันว่าคำอธิษฐานจะเป็นจริง
อีกหนึ่งสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่ต้องไปเยือนสักครั้งในชีวิต คือ ‘ประตูมังกร (Dragon Gate)’ ไฮไลต์สำคัญที่สุดของอุทยานป่าเขาซีชาน (Xishan Forest Park) ที่ใช้ระยะเวลาในการก่อสร้างนานถึง 72 ปี โดดเด่นด้วยศิลปะหินแกะสลัก เชื่อกันว่าประตูมังกรคือทางผ่านสู่ความเป็นสิริมงคล การลอดประตูมังกรจะช่วยปัดเป่าสิ่งชั่วร้าย พบเจอโชคลาภและประสบความสำเร็จ นอกจากการเดินขึ้นเขาแล้ว ยังสามารถใช้บริการกระเช้าลอยฟ้า หรือรถรับส่งไฟฟ้า เพื่อไปยังประตูมังกรได้เช่นกัน
จากบริเวณตัวเมืองคุนหมิงไปทางทิศตะวันออกประมาณ 77 กิโลเมตร ในเขตปกครองตนเองชนเผ่าอี๋ (Shilin Yi Autonomous County) ซึ่งเดินทางโดยรถยนต์ราวชั่วโมงนิด ๆ จะได้พบกับสุดยอดมหัศจรรย์ธรรมชาติที่ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกโดยองค์การยูเนสโกในปี 2007 นั่นคือ ‘อุทยานป่าหิน (Kunming Stone Forest)’ แหล่งท่องเที่ยวระดับ 5A ที่มีชื่อเสียงมากที่สุดของคุนหมิง ด้วยภูมิประเทศแบบคาสต์ (South China Karst) เกิดจากการกัดกร่อนหินปูนของน้ำใต้ดินจากการผ่านกระบวนการทางธรณีวิทยายาวนานกว่า 270 ล้านปี ภายในเขตอุทยานป่าหินที่มีพื้นที่มากถึง 350 ตารางกิโลเมตร เต็มไปด้วยภูเขาหินปูน เสาหินปูน และถ้ำหินปูน ดูสวยงามแปลกตา ที่นี่ยังเป็นแหล่งอาศัยของชาวซานี (Sani People) ซึ่งเป็นกลุ่มย่อยของชนเผ่าอี๋ (Yi Ethnic Group) ชาวซานีได้อาศัยอยู่ในภูมิภาคนี้มาหลายศตวรรษ และมีความผูกพันทางวัฒนธรรมอย่างลึกซึ้งกับภูมิประเทศ ทั่วทั้งพื้นที่จะมีหมู่บ้านเล็ก ๆ ที่ชาวบ้านยังคงมีวิถีชีวิตแบบชนเผ่า


Dali-Where Ancient Kingdoms Still Breathe
เสน่ห์ของ ‘เมืองโบราณต้าหลี่’ อยู่ที่มนตร์ขลังของสถาปัตยกรรมสมัยราชวงศ์หมิงที่ได้รับการดูแลรักษาเป็นอย่างดี มีประตูเมืองโบราณสี่ทิศ เมื่อมองออกไปจากประตูทิศใต้จะเห็นความงามของทะเลสาบเอ๋อร์ไห่อันกว้างใหญ่ สัญลักษณ์โดดเด่นของเมืองโบราณคือ ‘หอคอยวู่หัว (Wuhua Tower)’ อาคารรูปทรงแปดเหลี่ยมที่ตั้งอยู่ใจกลางเมือง แม้สร้างขึ้นตั้งแต่สมัยราชวงศ์ถังก็ยังคงดูสวยงาม เพราะได้รับการบูรณะอย่างต่อเนื่อง นี่คือจุดชมวิวพาโนรามาของเมืองที่งดงามอย่างยิ่ง
ภายในเมืองยังมี ‘วัดฉงเซิ่ง (Chongsheng Temple)’ พระอารามหลวงในยุคอาณาจักรน่านเจ้าและอาณาจักรต้าหลี่ สร้างขึ้นในสมัยของจักรพรรดิลำดับที่ 10 แห่งอาณาจักรน่านเจ้า ราวปี ค.ศ.738-902 ตรงกับสมัยปลายราชวงศ์ถังของจีน สัญลักษณ์สำคัญของวัดคือ ‘เจดีย์สามองค์’ หนึ่งในสิ่งปลูกสร้างที่เก่าแก่และสง่างามที่สุดของจีนตอนใต้ จัดเป็นแหล่งท่องเที่ยวระดับ 5A ด้านหน้าของเจดีย์คือทะเลสาบเอ๋อร์ไห่ ส่วนด้านหลังคือเทือกเขาชางซานยิ่งใหญ่สูงเสียดฟ้า เจดีย์องค์หลักตรงกลางรูปทรงสี่เหลี่ยม เป็นเจดีย์องค์ใหญ่ที่สุดและเก่าแก่ที่สุดจากในบรรดาทั้งสามเจดีย์ และเป็น 1 ใน 10 เจดีย์โบราณที่สูงที่สุดในประเทศจีน มีความสูง 69.13 เมตร แบ่งเป็น 16 ชั้น ส่วนเจดีย์ขนาบข้างสององค์มีรูปทรงแปดเหลี่ยม สูง 42.19 เมตร มี 10 ชั้น ตัวเจดีย์ทั้งสามองค์นี้ตั้งตระหง่านอย่างสมมาตร เจดีย์องค์เล็กซ้ายขวาตั้งอยู่ห่างกัน 97 เมตร และทั้งสองอยู่ห่างจากเจดีย์องค์หลัก 70 เมตร ชาวท้องถิ่นเชื่อมั่นในความศักดิ์สิทธิ์ของเจดีย์ทั้งสามที่แม้แต่ภัยธรรมชาติก็ไม่สามารถคุกคามได้ เพราะที่นี่ไม่ได้รับความเสียหายเมื่อเกิดแผ่นดินไหวในปี ค.ศ. 1925 ขณะที่บ้านเรือนและสิ่งปลูกสร้างอื่น ๆ ในเมืองต่างได้รับผลกระทบเป็นจำนวนมาก
อีกหนึ่งในไฮไลต์ของต้าหลี่คือ ‘ทะเลสาบเอ๋อร์ไห่’ ซึ่งมีชื่อภาษาไทยว่าทะเลสาบหนองแส ขนาดกว้างใหญ่ถึง 250 ตารางกิโลเมตร รอบ ๆ ทะเลสาบจะรายล้อมด้วยอาคารบ้านเรือนโบราณ หมู่บ้านชาวประมง และวัดวาอารามเก่าแก่ มีฉากหลังเป็นทัศนียภาพงดงามของเทือกเขาชางซาน สามารถนั่งเรือชมวิวในทะเลสาบได้ รวมทั้งแวะสำรวจตามเกาะแก่งกลางทะเลสาบ และเยี่ยมเยือนหมู่บ้านต่าง ๆ ริมทะเลสาบได้



Lijiang-Timeless City in the Clouds
เหนือขึ้นไปจากต้าหลี่ตามเส้นทางถนนราว 180 กิโลเมตร คือที่ตั้งของ ‘ลี่เจียง’ เขตการปกครองที่ประกอบด้วยเมืองเก่าและสี่ตำบล รวมทั้งย่านเมืองใหม่ลี่เจียง เมืองเก่าต้าเหยียน เมืองเก่าซูเหอ เมืองเก่าไป๋ซา และบางส่วนของช่องเขาเสือกระโจน มีจำนวนประชากรราว 1,100,000 คน
หัวใจสำคัญของลี่เจียงคือย่านเมืองเก่าลี่เจียงหรือชื่อทางการว่า ‘เมืองโบราณต้าเหยียน (Dayan Old Town)’ ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกในปี ค.ศ. 1997 มีสถาปัตยกรรม ประวัติศาสตร์ และวัฒนธรรมแตกต่างไปจากเมืองโบราณอื่น ๆ ของจีน เนื่องจากเป็นเมืองที่เป็นที่ตั้งรกรากของชาวหน่าซี (Naxi People) มาตั้งแต่สมัยโบราณ ก่อตั้งในสมัยราชวงศ์ซ่งใต้ (Southern Song Dynasty) เมื่อ 800 ปีก่อน บนที่ราบสูง 2,400 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล ล้อมรอบด้วยขุนเขาช่วยปกป้องเมืองจากลมหนาว สถาปัตยกรรมที่เป็นเอกลักษณ์ คือ การนำรูปแบบลานบ้านแบบปักกิ่งมาปรับให้เข้ากับวิถีหน่าซี ด้วยการเพิ่มระเบียงทางเดินสองข้างและซุ้มประตูใหญ่ ผังเมืองประกอบด้วยถนนหลักห้าสาย คูคลองมากมายเชื่อมต่อด้วยสะพานจำนวนมากที่สร้างในสมัยราชวงศ์หมิงและชิง เป็นศูนย์กลางการค้าสำคัญระหว่างเสฉวน ทิเบต และยูนนาน จนได้รับการขนานนามว่า ‘เวนิสแห่งจีน (Venice of China)’ จีนประกาศอย่างเป็นทางการว่า ที่นี่คือเมืองโบราณที่อนุรักษ์วัฒนธรรมดั้งเดิมได้ดีที่สุดเป็นอันดับหนึ่งของประเทศ
ส่วนสัญลักษณ์แห่งความมหัศจรรย์ทางธรรมชาติของลี่เจียงคือ ‘ภูเขาหิมะมังกรหยก (Yulong Snow Mountain)’ มีสถานะเป็นจุดท่องเที่ยวระดับ 5A ตั้งตระหง่านด้วยความสูง 5,596 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล ประกอบด้วยยอดเขา 13 ยอดที่ปกคลุมด้วยหิมะตลอดทั้งปี ดูคล้ายมังกรหยกขาวที่กำลังเหินบินผ่านเมฆ สำหรับชาวหน่าซี ภูเขานี้มีความสำคัญทางจิตวิญญาณในฐานะที่สถิตของเทพเจ้า สามารถนั่งกระเช้าลอยฟ้าขึ้นไปชมวิวที่งดงามบนภูเขาได้ โดยจุดชมวิวสูงสุดอยู่ที่ระดับ 4,680 เมตร มอบทัศนียภาพ 360 องศาของภูมิทัศน์อันหลากหลายเปลี่ยนแปลงไปตามฤดูกาล ไม่ว่าจะเป็น ธารน้ำแข็ง ทุ่งหญ้าบนภูเขา ผืนป่า น้ำตก และทะเลสาบ นอกจากทิวทัศน์ตระการ ภูเขาหิมะมังกรหยกยังสืบสานมรดกทางวัฒนธรรมอันล้ำค่าผ่านพิธีกรรมที่เป็นประเพณีท้องถิ่นของชาวหน่าซี

ด้านล่างของภูเขาหิมะมังกรหยกคือทะเลสาบสีฟ้าเทอร์ควอยซ์ ‘ไป๋สุ่ยเหอ’ (Baishui He Lake) มีความยาวประมาณ 3 กิโลเมตร สายน้ำที่เย็นตลอดทั้งปีของที่นี่มีต้นกำเนิดจากหิมะบนยอดเขาละลายไหลลงมารวมกัน และเป็นจุดที่สามารถพบเห็นจามรีสีขาวซึ่งเป็นสัตว์ประจำท้องถิ่น ทางเดินที่สะดวกสบายทำให้สามารถเดินชมทิวทัศน์รอบ ๆ ได้ง่ายดาย รวมทั้งมีบริการรถนั่งชมวิวด้วยเช่นกัน ไม่ไกลกันคือที่ตั้งของหุบเขาพระจันทร์สีน้ำเงิน (Blue Moon Valley) ตั้งอยู่เหนือระดับน้ำทะเลถึง 4,000 เมตร มีแม่น้ำสีฟ้าไหลเป็นลำดับขั้นอย่างสวยงาม
สำหรับนักเดินทางสายผจญภัยที่ชื่นชอบการเดินป่าต้องไม่พลาดในการได้ไปเยือน ‘ช่องเขาเสือกระโจน (Tiger Leaping Gorge)’ หนึ่งในหุบเขาเหนือแม่น้ำที่ลึกที่สุดในโลก ได้ชื่อมาจากตำนานเสือที่หนีการไล่ล่าของนายพรานด้วยการกระโดดข้ามช่องเขาที่แคบที่สุดซึ่งมีความกว้าง 30 เมตร มรดกโลกแห่งนี้ตั้งอยู่ระหว่างลี่เจียงและแชงกรีล่า มีความยาว 23 กิโลเมตร ขนานภูมิทัศน์อันงดงามของเทือกเขาหิมะ และนาข้าวขั้นบันไดแม่น้ำจินซา (Jinsha River) ซึ่งเป็นแม่น้ำสาขาของแม่น้ำแยงซี (Yangtze River) เส้นทางเดินเขาที่นิยม (High Road Trail) จะใช้เวลาเดินสองวัน ช่วงที่ท้าทายที่สุดเรียกว่า ‘28 โค้ง’ เพราะมีทางขึ้นที่ชันถึง 28 โค้ง ระหว่างทางจะพบน้ำตก หน้าผา นาขั้นบันได และหมู่บ้านชาวหน่าซี หากต้องการสัมผัสกับธรรมชาติที่งดงามของเส้นทางนี้ ควรเตรียมร่างกายให้พร้อมและใช้บริการไกด์ผู้เชี่ยวชาญการเดินป่าในพื้นที่นี้

