
Madagascar: Island of Nature Wonders ‘มาดากัสการ์’ มหัศจรรย์ความงามแห่งธรรมชาติกลางมหาสมุทรอินเดีย
นิตยสาร Trust ฉบับที่ 73 | คอลัมน์ Horizon

ห่างจากชายฝั่งออกไปราว 400 กิโลเมตรทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ของทวีปแอฟริกา คือ ที่ตั้งของประเทศ ‘มาดากัสการ์’ หรือมีชื่ออย่างเป็นทางการว่า ‘สาธารณรัฐมาดากัสการ์’ นี่คือเกาะที่ใหญ่ที่สุดเป็นอันดับสี่ของโลก รองจากเกาะกรีนแลนด์ เกาะนิวกินี และเกาะบอร์เนียว ‘มาดากัสการ์’ ได้รับการขนานนามว่าเป็น ‘ทวีปที่แปด (The Eighth Continent)’ เนื่องจากความหลากหลายทางชีวภาพซึ่งเป็นผลลัพธ์จากการแยกตัวทางภูมิศาสตร์เป็นเวลานานนับ 88 ล้านปี ผืนแผ่นดินที่ถูกกัดเซาะจนกลายเป็นเกาะ ทำให้เกิดวิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิตพื้นถิ่นนับไม่ถ้วน ที่นี่มีระบบนิเวศเป็นเอกลักษณ์เฉพาะ มีพืชพรรณและสัตว์ป่ากว่าร้อยละ 80 ที่ไม่สามารถพบได้ ณ ที่อื่นใดบนโลก ไม่ว่าจะเป็น ลีเมอร์ กิ้งก่าคามีเลียน เทนเรค เต่ายักษ์ นกหลากหลายสายพันธ์ุ และต้นเบาบับ ที่มีลักษณะเฉพาะตัว
ดังนั้น การเดินทางไปเยือน ‘มาดากัสการ์’ เปรียบเสมือนการผจญภัยสู่ดินแดนมหัศจรรย์ของธรรมชาติงามพิสุทธิ์ ทั้งป่าฝนสีเขียวมรกตอันหนาทึบที่อุดมด้วยสิ่งมีชีวิตหลากสายพันธุ์ ชายฝั่งแลดูขาวบริสุทธิ์ และโลกใต้น้ำที่มีระบบนิเวศอันสมบูรณ์
Antananarivo: Gateway to Malagasy Culture
เปิดประตูสู่ ‘มาดากัสการ์’ ที่อันตานานาริโว เมืองหลวงเก่าแก่ที่คนท้องถิ่นเรียกกันทั่วไปว่า ‘ตานา (Tana)’ ตั้งตระหง่านบนที่ราบสูงเหนือระดับน้ำทะเล 1,276 เมตร ณ ตอนกลางของเกาะ แต่เดิมที่นี่มีการปกครองระบอบกษัตริย์ ก่อนเข้าสู่ยุคอาณานิคมของฝรั่งเศสเป็นระยะเวลา 49 ปี เมื่อได้รับเอกราชในปี ค.ศ. 1960 ก็ยึดระบอบการปกครองแบบสาธารณรัฐมาจนปัจจุบัน และเนื่องจากมีผู้คนสืบเชื้อสายฝรั่งเศสเข้ามาอยู่อาศัยร่วมกับชาวมาลากาซี (Malagasy) มาหลายชั่วอายุคน จึงเกิดเป็นวัฒนธรรมผสมผสานที่สร้างอัตลักษณ์แก่มาดากัสการ์ สิ่งปลูกสร้างสไตล์อาณานิคมยุโรปอยู่ร่วมกับองค์ประกอบแบบดั้งเดิมของมาลากาซีและอิทธิพลแอฟริกันสมัยใหม่ เกิดเป็นสถาปัตยกรรมเฉพาะตัวของเมืองที่สะท้อนถึงมรดกทางวัฒนธรรมอันรุ่มรวย
หนึ่งในสถานที่ประวัติศาสตร์ที่โดดเด่นที่สุดของเมืองคือ ‘โรวาแห่งอันตานานาริโว (The Rova of Antananarivo)’ พระราชวังเก่าแก่ตั้งอยู่บนยอดเขา ‘อะนาลามันกา (Analamanga Hill)’ ซึ่งเป็นยอดเขาที่สูงที่สุดของเมือง โดยหากมองลงมาจะเห็นทัศนียภาพที่สวยงามของเมืองด้านล่าง พระราชวังแห่งนี้เคยเป็นที่ประทับของเหล่ากษัตริย์จากราชวงศ์ต่าง ๆ ตั้งแต่ศตวรรษที่ 17 จนถึงศตวรรษที่ 19 แรกเริ่มพระราชวังสร้างขึ้นด้วยไม้ ต่อมาจึงเสริมการตกแต่งด้วยหินจากอิทธิพลสถาปัตยกรรมฝรั่งเศสและอังกฤษ
ใกล้ ๆ กันเป็นที่ตั้งของ ‘เนินเขาหลวงแห่งอัมโบฮิมังกา (The Royal Hill of Ambohimanga)’ หนึ่งในมรดกโลกของยูเนสโก โดยช่วงระหว่างปี ค.ศ. 1740-1745 ที่นี่เคยเป็นเมืองหลวงทางการเมืองที่มีป้อมปราการและพระราชวัง มีกำแพงป้องกันที่มีประตูเจ็ดบาน และประตูหลักที่ปิดด้วยแผ่นหินกลมขนาดใหญ่น้ำหนัก 12 ตัน ประกอบด้วยอาคารหลวง สถานที่ประกอบพิธีกรรม สุสานหลวง ป่าศักดิ์สิทธิ์ที่มีพันธุ์พืชท้องถิ่นหายาก และอดีตที่นั่งศาลยุติธรรมที่ตั้งอยู่บนหินแกรนิตใต้ร่มต้นมะเดื่อ เป็นเมืองหลวงทางศาสนาของมาดากัสการ์ในศตวรรษที่ 19 ซึ่งปัจจุบันยังคงเป็นสถานที่สำหรับการบูชาบรรพบุรุษของประเทศ จึงถือเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์สำหรับชาวมาลากาซี ในฐานะสัญลักษณ์แห่งอัตลักษณ์ทางวัฒนธรรม
จากย่านประวัติศาสตร์ไปต่อกันที่การเรียนรู้วิถีชีวิตคนท้องถิ่นและเพลิดเพลินกับการชอปปิงที่ตลาด ‘อนาลากีลี (Analakely)’ แหล่งจำหน่ายสินค้าพื้นเมือง ไม่ว่าจะเป็นงานฝีมือหรือสิ่งทอ รวมไปถึงผลิตผลทางการเกษตร เช่น วานิลลา และโกโก้ ซึ่งเป็นพืชเศรษฐกิจขึ้นชื่อของที่นี่
เสน่ห์ของ ‘อันตานานาริโว’ คือ ร่องรอยของวันวานที่บอกเล่าเรื่องราวผ่านอาคารยุคอาณานิคมที่ผสานเข้ากับไลฟ์สไตล์ปัจจุบันอย่างลงตัว นี่คือเมืองศูนย์กลางการบริหาร เศรษฐกิจ และวัฒนธรรมของมาดากัสการ์ ที่สามารถมอบประสบการณ์หลากหลายและทำให้ผู้มาเยือนหัวใจเต้นรัว ณ ขณะทำความรู้จักกับเมืองอย่างลึกซึ้งผ่านสถานที่สำคัญ รวมไปถึงร้านรวงต่าง ๆ ที่ซ่อนตัวอยู่ในตรอกซอกซอยน้อยใหญ่

Andasibe-Mantadia:
Where Ancient Rainforests
Meet Legendary Wildlife
สำหรับนักท่องเที่ยวสายธรรมชาติและชื่นชอบการส่องสัตว์ป่า แนะนำว่าต้องไปเยือน ‘อุทยานแห่งชาติอันดาซิเบ-มันตาเดีย (Andasibe-Mantadia National Park)’ ซึ่งเป็นเขตป่าฝนสุดตระการตาที่สามารถเข้าถึงได้ง่ายที่สุดในประเทศ ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกของอันตานานาริโว ห่างไปราว 159 กิโลเมตร และใช้เวลาเดินทางด้วยรถยนต์ประมาณสี่ชั่วโมง
ภายในพื้นที่ 155 ตารางกิโลเมตรของ ‘อุทยานแห่งชาติอันดาซิเบ-มันตาเดีย’ ประกอบด้วยดินแดนสองเขตที่มีความหลากหลายทางชีวภาพอุดมสมบูรณ์ นั่นคือเขต ‘อุทยานแห่งชาติมันตาเดีย (Mantadia National Park)’ ซึ่งเป็นป่าฝนหนาแน่น มีพื้นที่ใหญ่กว่าในบริเวณทิศเหนือ และ ‘เขตสงวนพิเศษอะนาลามาโซอะตรา (Analamazoatra Reserve)’ ที่มีขนาดเล็กกว่า คนท้องถิ่นเรียกพื้นที่เขตนี้ว่า ‘อันดาซิเบ’ เพราะตั้งอยู่ทางทิศใต้ของหมู่บ้านอันดาซิเบ เป็นถิ่นที่อยู่ของลีเมอร์หลากหลายสายพันธุ์ และสายพันธ์ุที่มีชื่อเสียงมากที่สุด ซึ่งดึงดูดนักเดินป่าจากทั่วทุกมุมโลกให้เดินทางมาเยี่ยมชมคือ ‘อินดรี (Indri)’ ซึ่งเป็นลีเมอร์สายพันธุ์ที่ใหญ่ที่สุด ลำตัวยาว 60-70 เซนติเมตร น้ำหนักราว ๆ 6-9.5 กิโลกรัม มีขนสีขาวและดำสลับกันทั่วร่างกาย พวกมันจะเกาะอยู่ตามกิ่งไม้ ใช้เสียงเป็นเครื่องมือแสดงอาณาเขตและสื่อสารระหว่างกันข้ามระยะทางไกล ๆ ทำให้เกิดเป็นบทเพลงจากอินดรีที่ดังก้องกังวาน สร้างความโดดเด่นเป็นเอกลักษณ์ให้แก่พื้นที่บริเวณนี้
นอกจากอินดรีและลีเมอร์สายพันธุ์อื่น ๆ ที่นี่ยังเป็นที่อาศัยของ ‘กิ้งก่าปาร์สัน (Parson’s Chameleons)’ ซึ่งเป็นหนึ่งในสายพันธุ์กิ้งก่าคามีเลียนที่ใหญ่ที่สุดในโลก รวมถึงกิ้งก่าขนาดเล็กหลากหลายสายพันธุ์ที่เปลี่ยนสีได้อย่างสวยงาม และเชี่ยวชาญในการพรางตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อม มีนกมากกว่า 100 สายพันธุ์ รวมถึงนกพิราบฟ้ามาดากัสการ์ (Madagascar Blue Pigeon) และนกคัว (Coua Species) หลายสายพันธุ์ที่เป็นพันธุ์เฉพาะถิ่น และสายพันธุ์แมลงจำนวนมาก อีกทั้งยังมีสัตว์เลื้อยคลานและสัตว์สะเทินน้ำสะเทินบกต่าง ๆ มากมาย ทำให้ระบบนิเวศของที่นี่สมบูรณ์แบบยิ่งนัก
โดยส่วนใหญ่สัตว์ป่าเฉพาะถิ่นเหล่านี้ไม่สามารถพบได้ที่อื่นในโลก ทำให้ ‘อันดาซิเบ-มันตาเดีย’ ไม่เพียงเป็นจุดหมายของการท่องเที่ยวเชิงธรรมชาติชั้นนำเท่านั้น แต่ยังเป็นพื้นที่อนุรักษ์ที่สำคัญในการปกป้องสัตว์ป่าที่มีเอกลักษณ์และใกล้สูญพันธุ์ ท่ามกลางสภาพแวดล้อมป่าฝนเขียวชอุ่มที่อุดมไปด้วยเฟินยักษ์ ต้นไม้สูงตระหง่าน และพืชพรรณใต้ต้นไม้ที่อุดมสมบูรณ์

Must-See:
The World-Famous Avenue
of the Baobabs
ตั้งอยู่ใกล้เมืองชายฝั่ง ‘โมรอนดาวา (Morondava)’ ในภาคตะวันตกของมาดากัสการ์ ‘ถนนต้นเบาบับ (The Avenue of Baobabs)’ คือสถานที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติที่โด่งดังที่สุดของที่นี่ และเป็นเขตอนุรักษ์ที่ชาวมาลากาซีเรียกว่า ‘อนุสาวรีย์ทางธรรมชาติ (Natural Monument)’ ต้นไม้ยักษ์เหล่านี้มักถูกเรียกว่า ‘ต้นไม้กลับหัว’ เนื่องมาจากกิ่งก้านที่แลดูคล้ายราก แต่ละต้นมีอายุกว่า 800 ปี บางต้นมีลำต้นโตเกิน 150 ฟุต สร้างภูมิทัศน์ที่แปลกตาและเป็นหนึ่งในจุดชมพระอาทิตย์ตกอันแสนงดงามที่สุดแห่งหนึ่งของโลก ที่เหล่าช่างภาพทั้งมือสมัครเล่นและมืออาชีพจากทั่วโลกใฝ่ฝันจะได้มาถ่ายภาพที่นี่สักครั้งในชีวิต
นอกจากความงดงามแล้ว ต้นไม้โบราณเหล่านี้ยังมีความหมายทางวัฒนธรรมอย่างลึกซึ้งสำหรับชุมชนท้องถิ่น เพราะเป็นพืชสมุนไพรที่ใช้ในการแพทย์แผนโบราณมาหลายศตวรรษ ในปัจจุบันผลเบาบับยังได้รับการยกย่องว่าเป็น ‘ซูเปอร์ฟรุต (Superfruit)’ เพราะเปี่ยมคุณค่าทางโภชนาการ อุดมด้วยวิตามินซี วิตามินบี แมกนีเซียม โพแทสเซียม แคลเซียม ไฟเบอร์ และสารต้านอนุมูลอิสระ เนื้อเบาบับจะแห้งและมีลักษณะแบบเนื้อชอล์ก มอบรสชาติหวานอมเปรี้ยว ที่ชวนให้นึกถึงการผสมผสานรสชาติของเกรปฟรุต ลูกแพร์ และวานิลลาเข้าด้วยกัน
นอกจากรับประทานผลสดแล้ว ยังสามารถนำเนื้อเบาบับมาทำเป็นเครื่องดื่มมอบความสดชื่น สามารถลิ้มลองผลเบาบับและผลิตภัณฑ์อาหารเครื่องดื่มจากเบาบับได้ที่ตลาดท้องถิ่นในเมืองโมรอนดาวา เพื่อให้เข้าถึงประสบการณ์การไปเยือนดินแดนแห่งต้นเบาบับแบบครบครันในทุกมิติ

Off the Beaten Path:
Discovering Tsingy Rouge
‘ซิงกี้ รูจ (Tsingy Rouge)’ ในภาคเหนือของมาดากัสการ์เป็นสิ่งมหัศจรรย์ทางธรณีวิทยาที่โดดเด่น เกิดจากการพังทลายของหินศิลาแลง (Laterite) ตามแนวแม่น้ำ ‘อิโรโด (Irodo River)’ สีแดงสดใสของซิงกี้ รูจ เป็นผลมาจากปริมาณธาตุเหล็กสูงในหินที่ถูกกัดเซาะ ภูมิทัศน์แปลกตานี้ชวนให้นึกถึงแกรนด์แคนยอนขนาดเล็ก แต่แตกต่างและโดดเด่นด้วยยอดแหลมที่มีลักษณะต่าง ๆ กัน ผุดขึ้นจากพื้นดิน แม้จะไม่ค่อยมีนักท่องเที่ยวเดินทางไปเยี่ยมชมมากนัก เมื่อเทียบกับสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญอื่น ๆ เนื่องจากอยู่ในบริเวณที่ห่างไกลออกไป แต่หากจัดสรรเวลาเพียงพอสำหรับการเดินทางไปเยือน ซิงกี้ รูจ ก็จะมอบประสบการณ์ที่หาไม่ได้จากที่อื่น ๆ ด้วยความงามเฉพาะตัว โดยเฉพาะช่วงเช้าตรู่หรือบ่ายแก่ เมื่อแสงแดดอ่อน ๆ ส่องลงมาในมุมต่ำ ทำให้สีแดงสดใสของหินเปล่งประกายความงามอย่างเต็มที่
ชุมชนพื้นเมืองได้นำสีธรรมชาติของที่นี่มาใช้สำหรับแต่งหน้าและย้อมผ้ามาเป็นเวลานาน แสดงให้เห็นวิถีชีวิตที่เชื่อมโยงกับธรรมชาติและวิวัฒน์จนกลายเป็นเอกลักษณ์ประจำท้องถิ่น

Nosy Be: Madagascar's Ultimate
Island Escape
สวรรค์เขตร้อนที่เป็นทั้งแหล่งพักกายใจและการผจญภัยทางธรรมชาติอันหลากหลาย สามารถเดินทางมาถึงได้อย่างสะดวกสบาย เพราะมีท่าอากาศยานนานาชาติ ‘นอซีเบ (Nosy Be)’ ซึ่งหมายถึง ‘เกาะใหญ่’ ในภาษามาลากาซี เป็นเกาะที่ตั้งอยู่นอกชายฝั่งตะวันตกเฉียงเหนือของมาดากัสการ์ เป็นจุดหมายปลายทางขึ้นชื่อเรื่องชายหาดขาว น้ำทะเลใส รวมทั้งสีสันแห่งชีวิตใต้ทะเล เกาะแห่งนี้ยังมีสมญานามว่า ‘เกาะน้ำหอม (The Perfume Island)’ จากกลิ่นหอมหวานของการเพาะปลูกกระดังงา ซึ่งเป็นหนึ่งในพืชเศรษฐกิจของประเทศ
พื้นที่หลายจุดของที่นี่ยังคงความเงียบสงบเหมาะสำหรับการพักผ่อน ขณะเดียวกัน ธรรมชาติอันสมบูรณ์ก็พร้อมมอบการผจญภัยแสนสนุกสำหรับเหล่านักสำรวจและผู้ที่ชื่นชอบกิจกรรมทางน้ำและกลางแจ้ง ไม่ว่าจะเป็นน้ำทะเลใสราวกระจกที่เบื้องล่างคือถิ่นที่อยู่ของแนวปะการังที่มีชีวิตชีวาและสัตว์ทะเลหลากหลายสายพันธุ์ อีกทั้งยังรายล้อมด้วยเกาะน้อยใหญ่มากมาย รวมทั้งมี ‘เขตอนุรักษ์ธรรมชาติโลโคเบ (Lokobe Nature Reserve)’ ซึ่งเป็นแหล่งที่อยู่ของสัตว์ป่าเฉพาะถิ่นจำนวนมาก
นอกจากธรรมชาติตระการแล้ว เสน่ห์ของ ‘นอซีเบ’ ยังอยู่ที่วัฒนธรรมพื้นถิ่นของหมู่บ้านมาลากาซีดั้งเดิมและตลาดท้องถิ่นอันคึกคัก จึงเป็นจุดหมายปลายทางที่เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการสัมผัสเสน่ห์ของมาดากัสการ์ทั้งในด้านของธรรมชาติและวิถีชีวิต
‘มาดากัสการ์’ เป็นจุดหมายปลายทางที่ตอบสนองจิตวิญญาณแห่งการผจญภัยอย่างแท้จริง การผสมผสานที่เป็นเอกลักษณ์ของความหลากหลายทางชีวภาพ ภูมิทัศน์ที่หลากหลาย รวมถึงส่วนผสมระหว่างวัฒนธรรมที่ลงตัว ทำให้เกาะแห่งนี้ฝากรอยประทับในความทรงจำแสนพิเศษแก่เหล่านักเดินทาง แบบที่พูดได้เลยว่า…ณ ดินแดนอื่น ๆ ไม่สามารถมอบประสบการณ์หนึ่งเดียวเช่นนี้ได้อย่างแน่นอน
