
นพ.ประเวช ตันติพิวัฒนสกุล บริหารชีวิตสร้างความสุขวัย 50+ แก้โจทย์ภาวะ Mid-Life Crisis
นิตยสาร Trust ฉบับที่ 68 | คอลัมน์ Moment of Happiness

ชีวิตวัยกลางคนดูจะมาพร้อมกับ Mid-Life Crisis หรือวิกฤตวัยกลางคน ที่มักเกิดขึ้นกับผู้มีอายุ 35–50 ปี ซึ่งถือเป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของชีวิต โดยเป็นวิกฤตทางจิตวิทยาที่ไม่ใช่โรคจิตหรือโรคซึมเศร้า แต่เป็นภาวะการแสดงออกจากความเครียดที่ส่งผลกระทบต่อร่างกายและจิตใจ ซึ่งหากรับมือและจัดการกับชีวิตไม่ดี ปลายทางอาจส่งผลร้ายกับสุขภาพจิตได้เช่นกัน
ดังที่ นพ.ประเวช ตันติพิวัฒนสกุล จิตแพทย์และเจ้าของเพจ “หมอประเวช” รวมทั้ง YouTube และ Podcast ปลดล็อกกับหมอเวช กล่าวถึงสาเหตุการเกิดขึ้นของภาวะ Mid-Life Crisis ว่า มีทั้งมิติบวกและลบ โดยในเชิงสังคมมีโจทย์ท้าทายวัย 50+ ในเรื่องงานและความสำเร็จ ความภาคภูมิใจ ส่วนเชิงชีวภาพก็เริ่มเห็นผลลัพธ์ของวิถีชีวิตที่เคยใช้มา เห็นความเสื่อมถอยของร่างกาย การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน รวมถึงเป็นช่วงวัยที่กำลังสำรวจตรวจสอบเรื่องความสุขและการมีชีวิตอยู่ด้วยชีวิตที่มีคุณค่า นอกจากนี้ บางคนอยู่ในสังคมที่ถูกเรียกว่า “วัยแซนด์วิช” คือ ด้านหนึ่งมีภาระหน้าที่ดูแลพ่อแม่วัย 70–90 ปี ที่อาจป่วย ดูแลตัวเองไม่ได้ ส่วนอีกด้านมีลูกวัยรุ่นหรือวัยกำลังเติบโตที่ต้องจัดการ เรียกได้ว่า ภาวะ Mid-Life Crisis มีแหล่งกำเนิดความเครียดหลากหลาย และถ้าไม่สามารถจัดการได้ดีก็กลายเป็นโจทย์ที่เรียกว่า “วิกฤต”
“นอกจากนี้ เรายังพบว่าสุขภาพและความลงตัวของชีวิตในช่วงวัยกลางคน มักส่งผลต่อสุขภาพและความเป็นสุขของชีวิตที่อยู่ในช่วงเกษียณได้”
กระบวนการบริหารและจัดการภาวะ Mid-Life Crisis
สำหรับกระบวนการบริหารและจัดการภาวะ Mid-Life Crisis คุณหมอประเวชให้เริ่มต้นจากการให้เรียนรู้ข้อมูลที่ถูกต้องเพื่อตระหนักถึงปัญหา และนำสู่ความสามารถในการบริหารตัวเองให้ปัญหาคลี่คลายลง
“แต่คนส่วนใหญ่เมื่อได้ข้อมูลแล้วจัดการเปลี่ยนแปลงตัวเองเลยนั้นมีน้อย แต่ใช่ว่าไม่มี ยกตัวอย่างตัวผมเองเป็นหนึ่งในกลุ่มที่เมื่อได้ข้อมูลที่ชัดเจนก็จะบริหารจัดการชีวิตที่เปลี่ยนตัวเองจากข้อมูลใหม่ เช่น เรื่องฝุ่น PM2.5 เรื่องอันตรายจากน้ำตาล ทันทีที่ได้ข้อมูลถูกต้อง ผมปรับชีวิตไม่ให้เสี่ยงจากสิ่งเหล่านี้ ถ้าไม่ใช่มุมสุขภาพแต่เป็นมุมอื่น ๆ สำหรับบางคน เช่น มีปัญหาการเงิน หมุนเงินไม่ทัน คุณก็ต้องมีชุดข้อมูลที่ถูกต้องในการจัดการโจทย์การเงินนี้อย่างไร เป็นต้น แล้วลงมือแบบค่อย ๆ ปรับเปลี่ยน”
เรื่องต่อมา หากเข้าสู่ภาวะ Mid-Life Crisis แล้ว สิ่งแรกที่ต้องจัดการ คือมีชีวิตที่ดีขึ้นจากการปรับเปลี่ยนไลฟ์สไตล์ของตัวเอง รีเซตระบบชีวภาพให้เข้าที่เข้าทางด้วยระบบพื้นฐานชีวิตง่าย ๆ ให้ดีขึ้น อาทิ การกิน นอน ออกกำลังกาย เริ่มจากกลับมานอนหลับให้เพียงพอ ออกกำลังกายสม่ำเสมอ เลือกกินอาหารเพื่อสุขภาพ จัดเวลาพักผ่อนให้กับตัวเอง มีความสุขกับธรรมชาติมากขึ้น เพื่อให้สมอง หัวใจ ปอด ตับ ลำไส้ ทำงานดีขึ้น ซึ่งทันทีที่ระบบชีวภาพทำงานดี ความคิดและการตัดสินใจก็จะดีขึ้น อาทิ คุณอาจจะค้นพบจากสิ่งที่เคยคิดว่า “เงิน” ทำให้เราหาความสุขนั้น กลับกลายเป็นว่าความสุขมากมายที่ต้องการไม่ต้องใช้เงินด้วยซ้ำ แต่ตัวสำคัญคือการตัดสินใจที่มาจากระบบชีวภาพเข้าที่เข้าทางของเรามากกว่า
“ในมุมกลับกัน ลองคิดสิครับว่า เวลาที่เราอดนอน เครียด รู้สึกว้าวุ่นใจ นำสู่การตัดสินใจที่แย่ลง กลายเป็นปัญหาหนึ่งนำไปสู่อีกปัญหาและอีกปัญหาเพิ่มขึ้น คล้องเป็นลูกโซ่ ยิ่งว้าวุ่นใจ ยิ่งนอนไม่หลับ กระทบไปหมด ดังนั้น เพียงแค่จัดระบบพื้นฐานชีวิตให้ลงตัว การจัดการความเครียดและทุกเรื่องในชีวิตก็จะดีขึ้นเช่นกัน”
กระบวนการจัดการปัญหาจากภาวะ Mid-Life Crisis คุณหมอประเวชอธิบายเพิ่มเติมด้วยว่า ยังมีส่วนผสมสำคัญที่สุดคือ “ความหวัง” และ “ความเชื่อมั่นว่าจะผ่านไปด้วยดี” นั่นคือ Mind Set กรอบความคิดหรือทัศนคติทางจิตใจที่เกิดขึ้นจากสมองของคนเราผ่านประสบการณ์ต่าง ๆ ในอดีต แล้วส่งผลต่อความคิด การกระทำ และพฤติกรรม ที่นำไปสู่ความสำเร็จหรือความล้มเหลวได้ ดังนั้น Mind Set ที่มักถูกหล่อหลอมมายาวนานจนอาจยากที่จะเปลี่ยนแปลงได้ทันที แต่ก็สามารถเปลี่ยนแปลงได้โดยต้องใช้เวลา รวมถึงการที่คนเราสามารถจัดระบบชีวิตที่มีไลฟ์สไตล์ที่ดี คุณหมอเชื่อว่าเป็นอีกตัวช่วยสร้าง Mind Set ของการมีความหวังและความเชื่อมั่นว่าแล้วปัญหาทุกอย่างจะผ่านไปด้วยดีเช่นกัน


จำลองฉากทัศน์ให้ตอบโจทย์ภาพความสุขในอนาคต
นอกจากนี้ คุณหมอประเวชได้แนะนำเครื่องมือทางความคิดที่ช่วยออกแบบให้เห็นความต้องการของตัวเองในการใช้ชีวิตต่อไป รวมถึงการมองให้เห็นภาพความสุขที่ต้องการในอนาคตที่เรียกว่า “การจำลองฉากทัศน์ (Scenario)”
“ลองวางฉากทัศน์ของตัวเองแล้วมองความเป็นไปได้ของสิ่งที่เกิดขึ้นในอนาคตว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นบ้าง แล้วต้องเตรียมตัวรับมือกับสิ่งที่เกิดอย่างไร และหากเกิดขึ้นแล้วต้องทำอย่างไร โดยการสร้างฉากทัศน์นี้ไม่อยากให้วางไปไกลมาก เพราะชีวิตไม่แน่ไม่นอน บวกกับโลกที่มันเปลี่ยนเร็วมาก หลายปัจจัยอยู่เหนือการควบคุม ดังนั้น ค่อย ๆ เดิน ค่อย ๆ พาตัวเองให้มีเวลาทบทวนทีละก้าว ๆ เพื่อให้เห็นความลงตัวระหว่างความเป็นเรากับวิถีชีวิตของเรา วิธีหาเลี้ยงชีพของเรา แล้วตัวเราจะจัดการอย่างไรเพื่อตอบโจทย์ภาพในอนาคตที่ต้องการในวันที่มีอายุ 80 ปีหรืออาจไปจนถึง 90 ปี จะบริหารชีวิตไปถึงจุดนั้นอย่างไร คำตอบก็จะค่อย ๆ ส่งภาพชัดกลับมาในแนวทางที่ชัดเจนทั้งด้านสุขภาพ ความสัมพันธ์ ความมั่นคงทางการเงิน ฯลฯ”
ท้ายสุดนี้ คุณหมอประเวชอยากให้คลายกังวลว่า Mid-Life Crisis ไม่ใช่วิกฤตที่น่ากลัวและรับมือยาก เพียงแต่กำหนดเป้าหมายของชีวิตให้ชัดเจน และมองปัญหาด้วยความพร้อมของร่างกายและจิตใจผสานพลังบวกว่า เราจะผ่านทุกอย่างไปได้ด้วยดีอย่างแน่นอน
“ผมคิดว่าหัวใจสำคัญของวัย 50+ ที่ทำให้เขารู้สึกว่า มีพลังในการจัดการกับสิ่งท้าทายของชีวิตได้มากน้อยแค่ไหนนั้น มีส่วนผสมหลายอย่างปนเปกันระหว่างความสามารถในการจัดการชีวิต ความสามารถในการหาข้อมูลที่ตอบโจทย์ชีวิตตัวเอง ความสามารถในการจัดระบบชีวิตของตัวเองให้ลงตัว ความสามารถในการแก้ปมตัวเอง และด้วยยังเป็นวัยที่ยังมีการเรียนรู้จากประสบการณ์นอก Comfort Zone จึงมองว่า สิ่งนี้อาจเป็นความท้าทายใหม่ที่ช่วยกำหนดเป้าหมายของชีวิตที่ชัดเจนในอนาคตได้เช่นกัน”
ที่สำคัญ คือ จัดระบบชีวิตให้ดีและลงตัว ด้วยระบบชีวภาพพื้นฐานที่ผมบอกไว้ กิน นอน ออกกำลังกาย และสร้างช่วงเวลาที่อยู่กับตัวเอง เพื่อให้เป็นสภาวะที่ร่างกายได้เยียวยาตัวเอง ทำให้สมองพร้อมที่จะทำงานให้มีประสิทธิภาพสูงขึ้น แล้วคุณก็จะมีชีวิตอยู่สบายขึ้น เพราะคุณสามารถรู้จักตัวเองในมิติของชีวิตที่ต้องการอย่างแท้จริง และเป็นมิติของสิ่งที่เราทำได้ดี สร้างรายได้จากไลฟ์สไตล์ที่ต้องการ เหล่านี้ต้องสะสมจากการรู้จักตัวเอง เห็นความเป็นไปได้ จึงจะสามารถออกแบบชีวิตในช่วงวัย 50+ ได้อย่างลงตัวมากขึ้นครับ
