
ชูฉัตร ประมูลผล ภายใต้ภารกิจ เลขาธิการ สำนักงาน คปภ. ขับเคลื่อนอุตสาหกรรมประกันภัยไทย เติบโตยั่งยืน ทันโลกดิจิทัล
นิตยสาร Trust ฉบับที่ 70 | คอลัมน์ People

จากวิกฤตการณ์การแพร่ระบาดของโรค COVID-19 ที่เกิดขึ้นทั่วโลกในช่วงที่ผ่านมา ได้สร้างบทเรียนให้กับทุกภาคอุตสาหกรรมและภาคธุรกิจ รวมถึงสร้างความเสียหายอย่างมหาศาล ไม่เว้นแม้แต่ ‘อุตสาหกรรมประกันภัย’ ที่ดูเหมือนจะมีแนวโน้มไปในทิศทางที่ดีขึ้น แม้สถานการณ์ COVID-19 จะคลี่คลายลงแล้ว แต่ธุรกิจประกันภัยยังต้องเผชิญกับความท้าทาย ในเรื่องของเทคโนโลยี การปรับตัวเข้าสู่ยุคดิจิทัลและต้องรับมือกับความเปลี่ยนแปลงทางสังคมและเศรษฐกิจ รวมถึงความต้องการของกลุ่มผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไป
สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) ในฐานะหน่วยงานรัฐที่ทำหน้าที่กำกับดูแลธุรกิจประกันภัยในประเทศไทย และเปรียบเสมือนผู้พิทักษ์สิทธิของผู้เอาประกันภัยและเป็นผู้ดูแลให้ระบบประกันภัยไทยมีความมั่นคงและเติบโตอย่างยั่งยืน โดยปัจจุบันมีคุณชูฉัตร ประมูลผล ดำรงตำแหน่งเลขาธิการ คปภ. ซึ่งเข้ามารับภารกิจสำคัญนี้เมื่อเดือนตุลาคม 2566 โดยได้กำหนดยุทธศาสตร์การดำเนินงานของสำนักงาน คปภ. ร่วมกับแผนพัฒนาประกันภัยระยะยาวที่ครอบคลุมทุกมิติของทิศทางการเปลี่ยนแปลงในโลกยุคใหม่นี้
“ธุรกิจประกันภัยในประเทศไทยมีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่อง เพราะได้รับแรงหนุนจากปัจจัยต่าง ๆ ทั้งภายในและภายนอกประเทศ นั่นถือเป็นโอกาสดี หากอุตสาหกรรมประกันภัยของประเทศเราสามารถปรับตัวให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลง นำเสนอผลิตภัณฑ์และบริการที่ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าที่จะทำให้เราสามารถแข่งขันในตลาดได้อย่างยั่งยืน”
เลขาธิการ คปภ. กล่าวถึงภาพรวมธุรกิจประกันภัยในประเทศไทยที่เติบโตขึ้นหลังวิกฤต COVID-19 โดยกลุ่มประกันชีวิตมีอัตราการเติบโตสูงกว่าประกันวินาศภัย เนื่องด้วยผู้คนหันมาให้ความสำคัญกับการวางแผนการเงินเพื่อรองรับอนาคตมากขึ้น โดยเฉพาะประกันชีวิตแบบบำนาญและประกันสุขภาพที่ได้รับความนิยมอย่างมาก โดยสาเหตุสำคัญมาจากสังคมไทยเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุและค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพมีแนวโน้มสูงขึ้น ทำให้ความต้องการด้านประกันชีวิตและสุขภาพเพิ่มขึ้น รวมถึงความผันผวนทางเศรษฐกิจ ผู้คนจึงหันมาบริหารความเสี่ยงด้วยการทำประกัน และการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของผู้บริโภคที่ให้ความสำคัญด้านสุขภาพและการวางแผนอนาคตมากขึ้น พร้อมไปกับการสนับสนุนจากภาครัฐที่มีนโยบายส่งเสริมการประกันภัยในหลายด้านแก่ประชาชน
อุตสาหกรรมประกันภัยเผชิญความท้าทายโลกยุคดิจิทัล
ในวันที่โลกเข้าสู่ยุคดิจิทัล อุตสาหกรรมประกันภัยก็เผชิญความท้าทายใหม่ที่ได้สร้างโอกาสการเติบโตให้กับบริษัทประกันภัยในการปรับตัวให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลง พร้อมพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการใหม่ ๆ ในการตอบสนองความต้องการของลูกค้าที่เปลี่ยนแปลงด้วยเช่นกัน และเพื่อให้สามารถแข่งขันในตลาดได้อย่างยั่งยืน โดยมีทั้งการนำเทคโนโลยีใหม่ ๆ มาใช้ในการดำเนินธุรกิจ เช่น ปัญญาประดิษฐ์ (AI) และ Big Data เข้ามาช่วยให้บริษัทประกันภัยสามารถให้บริการลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
ด้านทิศทางการพัฒนาอุตสาหกรรมประกันภัยของประเทศนั้น คุณชูฉัตรกล่าวถึงการขับเคลื่อนของทุกธุรกิจประกันภัยในประเทศที่กำลังเติบโตว่า อยู่ภายใต้แผนพัฒนาการประกันภัย ฉบับที่ 4 (พ.ศ. 2564-2568) ซึ่งกำหนดวิสัยทัศน์ไว้ว่า ‘ระบบประกันภัยไทยมีความมั่นคง ยั่งยืน และแข่งขันได้ในเศรษฐกิจและสังคมดิจิทัล ด้วยนวัตกรรมและเทคโนโลยีภาครัฐ ภาคเอกชน และประชาชนเข้าถึงการประกันภัยและใช้ประโยชน์ในการรองรับความเสี่ยง’ ที่ถูกแบ่งเป็น 4 ยุทธศาสตร์หลัก ได้แก่
ยุทธศาสตร์ที่ 1: พัฒนาและส่งเสริมให้ธุรกิจประกันภัยปรับรูปแบบการดำเนินธุรกิจให้สอดรับสภาพแวดล้อมใหม่
ยุทธศาสตร์ที่ 2: สร้างนวัตกรรมการบริหารความเสี่ยงด้านการประกันภัยให้ประชาชนและภาคเอกชน
ยุทธศาสตร์ที่ 3: ผลักดันให้ระบบประกันภัยมีบทบาทในการสนับสนุนระบบเศรษฐกิจและสังคมอย่างยั่งยืน
ยุทธศาสตร์ที่ 4: พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านการประกันภัยเพื่อส่งเสริมการดำเนินธุรกิจประกันภัย
“ดังนั้น ทิศทางการพัฒนาจึงมุ่งเน้นไปที่การสร้างระบบประกันภัยที่แข็งแกร่ง มั่นคง และตอบโจทย์ความต้องการของทุกภาคส่วน โดยมีเทคโนโลยีเป็นตัวขับเคลื่อนสำคัญ ด้วยเป้าหมายหลักประการแรก คือ ประชาชนเข้าถึงประกันภัยได้ง่ายขึ้น มีผลิตภัณฑ์ประกันภัยที่หลากหลายและตอบโจทย์ความต้องการของแต่ละบุคคล สอง…ธุรกิจประกันภัยเติบโตอย่างยั่งยืน บริษัทประกันภัยมีการบริหารจัดการที่ดีและนำเทคโนโลยีมาใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ และสุดท้าย คือ ระบบประกันภัยมีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ เนื่องด้วยการประกันภัยจะเข้ามามีส่วนช่วยในการบริหารความเสี่ยงและสนับสนุนการเติบโตของประเทศนั่นเอง”
คปภ. ผู้พิทักษ์สิทธิผู้เอาประกันภัยและภารกิจกำกับดูแลธุรกิจประกันภัย
นอกจากนี้ เลขาธิการ คปภ. ยังได้อธิบายเพื่อสร้างความเข้าใจบทบาทหน้าที่ในมิติต่าง ๆ ของสำนักงาน คปภ. ที่ชัดเจนขึ้นด้วยว่า “คปภ. เปรียบเสมือนผู้พิทักษ์สิทธิของผู้เอาประกันภัย เป็นหน่วยงานภาครัฐที่ทำหน้าที่กำกับดูแลธุรกิจประกันภัยในประเทศไทย และดูแลระบบประกันภัยไทยให้มีความมั่นคงและเติบโตอย่างยั่งยืน” ทำให้ภาพการทำงานของสำนักงาน คปภ. ที่คุ้นเคยกับประชาชนคนไทย จึงเป็นการดำเนินการเรื่องความคุ้มครองผู้เอาประกันภัยให้ได้รับความเป็นธรรม เมื่อเกิดปัญหาเกี่ยวกับการประกันภัย เช่น การเคลมไม่จ่าย การให้ข้อมูลที่ไม่ถูกต้อง ฯลฯ
“คปภ. ยังมีบทบาทสำคัญในการกำกับดูแลบริษัทประกันภัยให้ดำเนินธุรกิจอย่างโปร่งใส มีความมั่นคงทางการเงินและปฏิบัติตามกฎหมาย รวมทั้งสามารถพัฒนาผลิตภัณฑ์ประกันภัยใหม่ ๆ ที่ตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภค อีกทั้งยังส่งเสริมการเติบโตของธุรกิจประกันภัย โดย คปภ. สร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการเติบโตของธุรกิจประกันภัย และผลักดันให้ธุรกิจนี้มีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ”
สำนักงาน คปภ. ยังได้กำหนดแผนพัฒนาการประกันภัยระยะยาว เพื่อให้ระบบประกันภัยไทยมีความแข็งแกร่งและยั่งยืน “เป็นแผนพัฒนาฯ เน้น 5 ประเด็นหลัก ได้แก่ เสริมสร้างความแข็งแกร่งให้ธุรกิจประกันภัยมีความมั่นคงและสามารถรับมือกับความเสี่ยงต่าง ๆ ได้ ส่งเสริมให้ประชาชนเข้าใจประโยชน์ของการประกันภัยและเชื่อมั่นในระบบประกันภัย สนับสนุนให้บริษัทประกันภัยพัฒนาผลิตภัณฑ์ประกันภัยที่หลากหลาย ตอบโจทย์ของผู้บริโภคแต่ละกลุ่ม ส่งเสริมการใช้เทคโนโลยีในธุรกิจประกันภัยเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและความสะดวกสบายให้กับผู้บริโภค และท้ายสุด คือ การสร้างระบบนิเวศธุรกิจประกันภัย อันเป็นการสร้างความร่วมมือกับภาคส่วนต่าง ๆ เพื่อพัฒนาธุรกิจประกันภัยให้มีความแข็งแกร่งและยั่งยืน”

นำทัพ คปภ. ขับเคลื่อนระบบประกันภัยของประเทศให้มั่นคงอย่างยั่งยืน
สำหรับคุณชูฉัตร ประมูลผล เข้ามาดำรงตำแหน่งเลขาธิการของสำนักงาน คปภ. เมื่อปีที่แล้ว โดยเป็นอีกบุคคลสำคัญที่ผ่านประสบการณ์การทำงานด้านการกำกับดูแลธุรกิจประกันภัยมากว่า 30 ปี ตั้งแต่ยุคที่ยังเป็น ‘กรมการประกันภัย’ กระทั่งมาเป็น ‘สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.)’ เรียกว่า ผ่านการทำงานแทบทุกมิติของการกำกับดูแลธุรกิจประกันภัย
“การได้เห็นผลลัพธ์ที่ได้จากการทำงานและการดำเนินงานของ คปภ. ที่ผ่านมาในเรื่องต่าง ๆ เช่น การเพิ่มความเข้าใจและความเชื่อมั่นของประชาชนในระบบประกันภัย การพัฒนาผลิตภัณฑ์ประกันภัยที่ตอบโจทย์ตามความต้องการของผู้บริโภคมากขึ้น เหล่านี้เป็นสิ่งที่ผมคลุกคลี เป็นงานที่ผมมีความภาคภูมิใจอย่างยิ่ง”
และในช่วงเวลาของการได้เป็นฟันเฟืองสำคัญที่ร่วมขับเคลื่อนให้สำนักงาน คปภ. ดำเนินไปได้ตามพันธกิจขององค์กรอย่างมั่นคงแข็งแรงนั้น คุณชูฉัตรเดินหน้าหลาย ๆ โครงการระดับชาติสู่ความสำเร็จอย่างเป็นรูปธรรมอันภาคภูมิใจ ไม่ว่าจะเป็น ‘โครงการไมโครอินชัวรันส์’ ที่พัฒนาผลิตภัณฑ์ประกันภัยให้ผู้มีรายได้น้อยสามารถเข้าถึงระบบประกันภัย เช่น การประกันภัยอุบัติเหตุส่วนบุคคล การประกันภัยทรัพย์สินที่มีการจำกัดความรับผิดชอบ ฯลฯ รวมถึงพัฒนาช่องทางการจัดจำหน่ายประกันภัยให้ประชาชนทุกระดับเข้าถึงได้ง่ายขึ้นในช่วงเทศกาล เพื่อให้ได้ใช้การประกันภัยเป็นการบริหารความเสี่ยงส่วนบุคคล (PA) และบรรเทาผลกระทบจากเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันในชีวิต
“นอกจากนี้ การประกันภัยรถภาคบังคับภายใต้ชื่อ ‘พรบ. เพื่อให้ประชาชนทุกคนมีหลักประกันและเข้าถึงประกันภัย’ เป็นอีกความสำเร็จที่อยากพูดถึง โดยรัฐบาลได้มีพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ (พ.ศ. 2535 และที่แก้ไขเพิ่มเติม) ซึ่งประกันภัยรถภาคบังคับหรือ พรบ. นั้น เป็นเหมือนใบเบิกทางที่เจ้าของรถทุกคนต้องมีติดตัว (เจ้าของรถ/ผู้ใช้รถต้องมีความรับผิดชอบต่อตัวเองและสังคม/มีความคุ้มครองความรับผิดจากบุคคลภายนอก) เพื่อดูแลผู้ที่ได้รับความเสียหายจากอุบัติเหตุทางรถ เพื่อบรรเทาความเสียหายที่เกิดขึ้น ซึ่งจะมีระบบประกันภัยเข้ามาดูแล โดยสำนักงาน คปภ. มีกองทุนทดแทนผู้ประสบภัย”
สำหรับผลงานอื่น ๆ ที่สร้างความสำเร็จอย่างเป็นรูปธรรมด้วยเช่นกันนั้น มีทั้ง ‘กองทุนผู้ประสบภัย’ ที่เป็นเหมือนหลังคาที่คอยคุ้มครองผู้ประสบภัยจากอุบัติเหตุทางรถยนต์ ในกรณีที่ไม่มีประกันภัยหรือเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนจากผู้กระทำผิดไม่ได้ รวมไปถึงผลงานสร้าง ‘ระบบฐานข้อมูลการประกันภัย (Insurance Bureau System: IBS)’ โครงการที่ทำให้สามารถนำข้อมูลมาใช้ได้จริงอย่างเป็นรูปธรรม ก่อให้เกิดประโยชน์ทั้งภาครัฐ ภาคธุรกิจประกันภัย และประชาชน ครอบคลุมข้อมูลในทุกมิติเพื่อนำมาใช้ประโยชน์ทั้งในด้านการกำกับภาคอุตสาหกรรมประกันภัยให้มีความมั่นคง แข็งแรง ให้เป็นหนึ่งในเสาหลักระบบเศรษฐกิจของประเทศ เพื่อก่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดในการให้บริการดูแลสังคมและประชาชน ตลอดจนเพื่อเป็นการส่งเสริมการพัฒนาและการขยายธุรกิจ
ส่วนอีกโครงการที่ไม่กล่าวถึงคงไม่ได้ในภาคส่วนของธุรกิจประกันภัยไทย ได้แก่ ‘โครงการส่งเสริมศักยภาพของระบบประกันภัยว่าด้วยการลงทุนของธุรกิจประกันภัย’ เพื่อกระตุ้นและรับมือกับภาวะเศรษฐกิจ รวมถึงเปิดโอกาสให้บริษัทประกันภัยมีการลงทุนที่หลากหลาย สอดคล้องกับลักษณะความเสี่ยงและภาระผูกพันที่มีต่อผู้เอาประกันภัย เพิ่มเม็ดเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจ ประโยชน์ต่อการกระตุ้นเศรษฐกิจ เกิดการจ้างงาน อีกทั้งเปิดโอกาสให้บริษัทประกันภัยลงทุนในต่างประเทศเพิ่มขึ้น
“การดำเนินทุกโครงการข้างต้นนี้ ก็เพื่อให้ระบบประกันภัยไทยมีความแข็งแกร่ง มั่นคง และมีความน่าเชื่อถือมากขึ้น ประชาชนได้รับความคุ้มครองที่ครอบคลุมมากขึ้น และธุรกิจประกันภัยสามารถเติบโตได้อย่างยั่งยืน นอกจากนี้ ยังส่งเสริมให้เกิดการแข่งขันที่เป็นธรรมในตลาดประกันภัย ผลดีจึงตกแก่ผู้บริโภคที่มีทางเลือกที่หลากหลายและได้รับอัตราเบี้ยประกันที่เหมาะสม ซึ่งตัวผมมีโอกาสทำงานร่วมกับหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชน ซึ่งผมถือเป็นการเปิดโอกาสให้เราได้เรียนรู้และแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับผู้คนจากหลากหลายสาขาอาชีพ อีกทั้งสร้างเครือข่ายความสัมพันธ์อันดี ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญในการขับเคลื่อนงานของสำนักงาน คปภ. ให้บรรลุเป้าหมายที่ได้ตั้งไว้”
พัฒนาตัวเอง สร้างวิสัยทัศน์เพื่ออนาคต มุ่งสู่ความสำเร็จขององค์กรอย่างยั่งยืน
ก่อนที่จะมารับตำแหน่งเลขาธิการของสำนักงาน คปภ. คุณชูฉัตรบริหารงานในตำแหน่งรองเลขาธิการ ด้านกำกับ ซึ่งทำงานกำกับดูแลครอบคลุมทั้งการกำหนดมาตรฐานการกำกับดูแลธุรกิจประกันภัย การกำกับผลิตภัณฑ์ประกันภัย และการกำกับการลงทุน อีกทั้งเคยเป็นรองเลขาธิการ ด้านตรวจสอบ ที่กำกับดูแลด้านการวิเคราะห์และตรวจสอบบริษัทประกันภัย รวมถึงประสบการณ์การทำงานด้านการส่งเสริมการประกันภัยและด้านการบริหารองค์กรอีกด้วย
“ผมในฐานะเลขาธิการ คปภ. ส่วนตัวแล้วมีภาคภูมิใจมาก ๆ ที่ได้มีส่วนร่วมขับเคลื่อนระบบประกันภัยของประเทศให้มีความแข็งแกร่ง มั่นคง และตอบสนองความต้องการของประชาชนและภาคธุรกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพ สามารถเป็นผู้อำนวยความสะดวกเพื่อให้เกิดนโยบายการขับเคลื่อนของอุตสาหกรรมประกันภัย ตลอดจนสร้างระบบนิเวศด้านประกันภัยที่เหมาะสม ทันสมัย และเติบโตได้อย่างยั่งยืน มีความยืดหยุ่นและตอบสนองต่อความท้าทายใหม่ ๆ ที่ถือเป็นโอกาสที่ดีในการสร้างสรรค์อนาคตที่ดียิ่งขึ้นให้กับประเทศไทยของเรา”
คุณชูฉัตรมีความเชื่อมั่นในบทบาทที่ท้าทายในตำแหน่งเลขาธิการ คปภ. ด้วยว่า “ความร่วมมือจากพนักงานเจ้าหน้าที่ของ คปภ. ทุกภาคส่วน ผมเชื่อมั่นว่า เราสามารถสร้างระบบประกันภัยที่แข็งแกร่ง มั่นคง และเป็นที่พึ่งพาของประชาชนได้อย่างยั่งยืน การพัฒนาระบบนิเวศด้านประกันภัยที่ยั่งยืน โดยมีประชาชนเป็นศูนย์กลาง พร้อมทั้งส่งเสริมการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการให้บริการและสร้างนวัตกรรมใหม่ ๆ เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไป ส่วนตัวผมกับการพัฒนาตนเองอย่างต่อเนื่องนั้น การทำงานในสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงรวดเร็วเช่นนี้ จำเป็นต้องมีการพัฒนาตนเองอยู่ตลอดเวลา เพื่อรับมือกับความท้าทายใหม่ ๆ นำองค์กรก้าวไปข้างหน้าได้อย่างมั่นคง ได้เรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ เราต้องพัฒนาทักษะของตนเองอยู่เสมอ และผมมองว่านี่เป็นความได้เปรียบที่สำคัญของทุกคน”
สำหรับระบบการประกันภัยในประเทศไทยพัฒนาไปอย่างรวดเร็ว ปัจจุบันมีรูปแบบผลิตภัณฑ์ประกันภัยที่มีความหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็น Pure Protection หรือผสมผสานการลงทุน ที่ส่งผลให้ธุรกิจประกันภัยมีเงินหมุนเวียน ณ ปี 2566 เบี้ยประกันภัยรับรวมทั้งระบบ 918,067 ล้านบาท คิดเป็นเบี้ยประกันชีวิต 69% (มูลค่าประมาณ 633,201 ล้านบาท) และเบี้ยประกันวินาศภัย 31% (มูลค่าประมาณ 284,815 ล้านบาท)
“ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียหลักที่สำคัญ คือ ประชาชนผู้เอาประกันภัยครับ โดยมีจำนวนเพิ่มมากขึ้นและมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นไปอีก เพราะการประกันภัยเป็นเครื่องมือหลักในการบริหารความเสี่ยงของทั้งบุคคลหรือธุรกิจ ดังนั้น จึงเป็นที่มาของสำนักงาน คปภ. ซึ่งมีภารกิจหลัก คือ การกำกับดูแลธุรกิจประกันภัยให้เป็นไปอย่างโปร่งใส มีประสิทธิภาพ และเป็นธรรม เพื่อคุ้มครองสิทธิประโยชน์ของผู้บริโภคและส่งเสริมความมั่นคงของระบบเศรษฐกิจ”
ธุรกิจประกันภัยต้องถอดบทเรียนจากวิกฤตโลก เรียนรู้และพัฒนา
ด้วยธุรกิจประกันภัยเป็นธุรกิจที่รับถ่ายโอนความเสี่ยงจากวิกฤตการณ์ต่าง ๆ เช่น เหตุการณ์แพร่ระบาดของโรค COVID-19 และการเกิดน้ำท่วมใหญ่ในประเทศไทย ซึ่งมีมูลค่าความเสียหายที่เกิดขึ้นจำนวนมากและยังส่งผลให้มีบริษัทประกันภัยบางแห่งต้องปิดตัวลงด้วย ในสถานการณ์ดังกล่าวนี้ คุณชูฉัตรกล่าวว่า ธุรกิจประกันภัยควรพึงตระหนักรู้และถอดบทเรียนในการดำเนินธุรกิจ ซึ่งหากธุรกิจประกันภัยมีการดำเนินธุรกิจที่แข็งแกร่ง จะช่วยส่งเสริมให้การประกันภัยเป็นเครื่องมือที่จะเข้ามาบริหารความเสี่ยงที่มีประสิทธิภาพ
“จากวิกฤตต่าง ๆ ที่ผ่านมา ระบบประกันภัยมีส่วนช่วยในการเยียวยาประชาชน ไม่ว่าจะเป็นเหตุการณ์อุทกภัยครั้งใหญ่ปี 2554 มีการจ่ายค่าสินไหมทดแทนให้กับผู้เอาประกันภัยกว่า 4 แสนล้านบาท หรือเหตุการณ์การแพร่ระบาดของโรค COVID-19 ที่มีประชาชนซื้อกรมธรรม์คุ้มครองหลายล้านฉบับ ซึ่งบริษัทประกันภัยที่สามารถผ่านช่วงเวลาดังกล่าวได้ ถือเป็นบริษัทที่มีการบริหารจัดการความเสี่ยงอย่างมีประสิทธิภาพ ครอบคลุม และยืดหยุ่นเท่าทันต่อเหตุการณ์ มีความสามารถปรับตัวต่อสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วพร้อมแผนสำรองเพื่อรับมือวิกฤตต่าง ๆ”
นอกจากนี้ หลายบริษัทยังได้นำเสนอผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ ที่ตอบสนองความต้องการของลูกค้า ควบคู่ไปกับการจัดการความเสี่ยงอย่างระมัดระวัง มีการบริหารความเสี่ยงอย่างเข้มข้นและประเมินสถานการณ์อย่างต่อเนื่อง บทเรียนจากช่วงเวลายากลำบากนั้น บริษัทประกันภัยจึงต้องมีการระมัดระวังในการพัฒนารูปแบบความคุ้มครองที่เหมาะสม กำหนดเบี้ยประกันที่เหมาะสมกับความเสี่ยงอย่างแท้จริง และติดตามความเสี่ยงใหม่ ๆ ที่อาจเกิดขึ้นอย่างใกล้ชิด รวมไปถึงการใช้เทคโนโลยีในการประเมินความเสี่ยงและให้บริการประชาชน ทำให้หลายบริษัทสามารถประเมินความเสี่ยงได้แม่นยำขึ้น ให้บริการลูกค้าได้อย่างตรงจุดและต่อเนื่องยิ่งขึ้น
“สำหรับภาคประชาชน วิกฤตต่าง ๆ เป็นบทเรียนให้ทุกคนต้องมีแผนการเงินที่ดี สำรองเงินฉุกเฉินเพื่อรับมือกับสถานการณ์ที่ไม่คาดคิด แม้ว่าการเกิดวิกฤตการณ์จะไม่ได้เกิดบ่อยครั้ง แต่ส่งผลให้เกิดความเสียหายได้อย่างมหาศาล ดังนั้น ประชาชนที่มีการบริหารความเสี่ยงด้วยการใช้ประกันภัยเป็นเครื่องมือ ก็ต้องตระหนักถึงการเลือกซื้อผลิตภัณฑ์ประกันภัยที่ตอบสนองความต้องการที่แท้จริงของตัวเอง เลือกซื้อผลิตภัณฑ์ประกันภัยจากบริษัทที่มีความมั่นคง และมีการบริหารความเสี่ยงภัยที่ดี โดยพิจารณาจากข่าวสารต่าง ๆ ที่ผ่านมา ประสบการณ์ในการรับประกันภัยของแต่ละบริษัทและฐานทางการเงินย้อนหลัง
กลยุทธ์ขับเคลื่อนอุตสาหกรรมประกันภัยให้เติบโตอย่างยั่งยืนในยุคดิจิทัล
“คปภ. ตระหนักถึงความสำคัญของการปรับตัวเพื่อรับมือความท้าทายที่เกิดขึ้นในอุตสาหกรรมประกันภัยทั่วโลก วางยุทธศาสตร์ในการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมประกันภัยไทยให้เติบโตอย่างยั่งยืนในยุคดิจิทัล ทั้งในมิติการส่งเสริมประกันภัยดิจิทัล ตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคยุคใหม่ที่นิยมทำธุรกรรมผ่านช่องทางออนไลน์และโทรศัพท์มือถือมากขึ้น สร้างแพลตฟอร์มและระบบเทคโนโลยีสารสนเทศที่ทันสมัย เพื่ออำนวยความสะดวกในการให้บริการประกันภัยและการกำกับดูแล และส่งเสริมให้เกิดนวัตกรรมใหม่ ๆ เช่น การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) และข้อมูลขนาดใหญ่ (Big Data) เพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการ รวมถึงจัดทำมาตรฐานรายการค่าใช้จ่ายสำหรับค่ารักษาพยาบาลและค่ายาโรงพยาบาล เพื่อให้เกิดการรับส่งข้อมูลระหว่างหน่วยงานที่จะนำไปสู่ฐานข้อมูลการทำประกันภัยสุขภาพ อันเป็นรากฐานในการนำเทคโนโลยีเข้ามาช่วยในการพัฒนาประกันสุขภาพต่อไป”
นอกจากนี้ สำนักงาน คปภ. ยังได้เดินหน้าเพิ่มความรู้ความเข้าใจด้านประกันภัยให้กับประชาชน รวมไปถึงประกันภัยดิจิทัล เพื่อให้สามารถเลือกซื้อและใช้งานบริการได้อย่างถูกต้อง ปลอดภัย มีประสิทธิภาพ พร้อมไปกับการเดินหน้าเสริมสร้างความเข้มแข็งให้บริษัทประกันภัยมีความแข็งแกร่งทางการเงิน แข่งขันในตลาดโลกได้ และยกระดับความพร้อมรับความเสี่ยงด้านไซเบอร์อย่างต่อเนื่องและปลอดภัยยิ่งขึ้น โดยทั้งหมดเป็นยุทธศาสตร์การขับเคลื่อนองค์กรของรัฐ ที่อยู่เคียงข้างผู้บริโภคและบริษัทประกันภัยไทยให้เติบโตอย่างยั่งยืนในโลกยุคดิจิทัลนี้
