Modern Mercantilism-ลัทธิพาณิชยนิยมสมัยใหม่ และการหวนคืนในเวทีการค้าโลก

นิตยสาร Trust ฉบับที่ 73 | คอลัมน์ Smart Investing

P10 iStock 805089754 scaled

      ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา การเปลี่ยนผ่านครั้งสำคัญจากยุคแห่งการค้าเสรีไปสู่ยุคใหม่ที่เต็มไปด้วยนโยบายกีดกันทางการค้าและการแทรกแซงของรัฐอย่างเข้มข้น เปรียบเสมือนการหวนคืนของ ลัทธิพาณิชยนิยม ที่เคยเฟื่องฟูในอดีต โดยแนวคิดการค้าเสรีที่ครองเวทีเศรษฐกิจโลกหลังสงครามเย็น การลดกำแพงภาษี การเปิดเสรีทางการค้า และความร่วมมือผ่านองค์กรระหว่างประเทศอย่างองค์กรการค้าโลก (World Trade Organization: WTO กำลังถูกท้าทายด้วยมุมมองใหม่ที่เชื่อว่า การค้าไม่ใช่เวทีที่ทุกฝ่ายได้ประโยชน์ร่วมกันอีกต่อไป ณ ขณะนี้ โลกเดินทางมาถึงจุดที่ประเทศมหาอำนาจทั้งหลายหันมาให้ความสำคัญกับดุลการค้า การปกป้องอุตสาหกรรมภายในประเทศของตนเอง และความมั่นคงทางเศรษฐกิจของชาติ มากกว่าจะยึดมั่นในหลักการตลาดเสรีแบบเดิม 

เงาของแนวคิดในประวัติศาสตร์

      แม้ภาพความขัดแย้งทางการค้าในปัจจุบันจะดูราวกับว่าเป็นปรากฏการณ์ใหม่ แต่แท้จริงแล้ว มันกลับเป็นเงาสะท้อนที่ชวนให้หวนนึกถึงแนวคิดทางเศรษฐศาสตร์เมื่อหลายศตวรรษก่อน โดย ลัทธิพาณิชยนิยม (Mercantilism) นั้น แต่เดิมถือกำเนิดขึ้นในยุโรปยุคศตวรรษที่ 16–18 ที่รัฐบาลจะแสวงหาความร่ำรวยและอำนาจของชาติผ่านการส่งเสริมการส่งออกและจำกัดการนำเข้า ซึ่งอาจกล่าวได้ว่าแนวคิดดังกล่าวเป็น ลัทธิเศรษฐกิจชาตินิยม ที่มุ่งเน้นการสร้างรัฐให้มั่งคั่งและแข็งแกร่ง ผ่านการสร้างความได้เปรียบทางการค้า ทั้งการตั้งกำแพงภาษีที่สูง หรือการล่าอาณานิคมเพื่อแสวงหาแหล่งทรัพยากร รวมถึงการเก็บสะสมทองคำ โดยรากฐานของแนวคิดนี้ มองว่าการค้าคือศูนย์รวมของอำนาจรัฐ และยิ่งประเทศใดส่งออกได้มากและนำเข้าเพียงเล็กน้อย ก็จะยิ่งทำให้สามารถสะสมความมั่งคั่งไว้กับตนได้มากขึ้นเท่านั้น 

      นักประวัติศาสตร์เศรษฐกิจ อีไล เฮ็คเชอร์ (Eli Heckscher) ผู้เขียนงานคลาสสิก Mercantilism ได้ชี้ให้เห็นว่าลัทธิพาณิชยนิยมเป็นมากกว่าแค่นโยบายเศรษฐกิจ หากแต่เป็นมุมมองของรัฐที่ต้องการแปรสภาพความมั่งคั่งให้กลายเป็นอำนาจทางการเมืองและการทหารอย่างเป็นรูปธรรม แนวคิดนี้จึงเป็นพื้นฐานของระบอบในยุคก่อน ซึ่งมองว่าความมั่งคั่งไม่ใช่สิ่งที่แยกขาดจากอำนาจ แต่คือรากฐานสำคัญของการสร้างอำนาจ และเป็นรัฐที่แข็งแกร่ง โดยแม้ว่าเวลาจะล่วงเลยมาหลายศตวรรษ แต่แนวคิดพื้นฐานนี้ กลับปรากฏอย่างเด่นชัดในยุค ลัทธิพาณิชยนิยมยุคใหม่ (Modern Mercantilism)’ เมื่อประเทศมหาอำนาจในศตวรรษที่ 21 หันกลับมาใช้นโยบายปกป้องอุตสาหกรรมในประเทศ ดุลการค้า และความมั่นคงทางเศรษฐกิจเพื่อช่วงชิงความได้เปรียบ

P11 Smart Investing ECON

โลกยุคปัจจุบันที่มีสงครามการค้า
นโยบายอุตสาหกรรม และชาตินิยมทางเศรษฐกิจ

      สหรัฐฯ ภายใต้การนำของประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ใช้นโยบายเพิ่มกำแพงภาษีที่ไม่เคยเกิดขึ้นเลย ในยุคหลังสงครามโลกครั้งที่สอง โดยผลที่ตามมาคือ จีนเองก็ใช้นโยบายตอบโต้ที่สอดคล้องกับวิธีคิดแบบพาณิชยนิยมเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นการขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากสหรัฐฯ หรือการปล่อยค่าเงินหยวนให้อ่อนค่าลงเพื่อรักษาความสามารถในการแข่งขันของสินค้าจีน  สถานการณ์ตอบโต้เช่นนี้ ถูกเปรียบว่าเป็น เกมกำไรศูนย์ (Zero Sum Game)’ ที่ทุกฝ่ายพยายามช่วงชิงส่วนแบ่งซึ่งกันและกัน แทนที่จะร่วมมือกันแบบเมื่อก่อน ซึ่งฉากทัศน์ปัจจุบัน แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าหลักการและแนวคิดแบบที่สนับสนุนการค้าเสรีกำลังถอยฉาก และแนวคิดพาณิชยนิยมแบบเก่ากำลังกลับมาโลดแล่นบนเวทีโลกอีกครั้ง 

      สิ่งที่น่าสนใจคือ นโยบายหลายอย่างที่ปรากฏไม่นานมานี้ ล้วนสะท้อนหลักการของ Modern Mercantilismอย่างชัดเจน โดยรายงานของ Bridgewater Associates ซึ่งเป็นกองทุนบริหารความเสี่ยง (Hedge Funds) ระดับโลกที่ก่อตั้งโดย Ray Dalio ซึ่งเป็นผู้เขียนหนังสือชื่อดังอย่าง The Changing World Order’ ที่ได้รับความนิยมอย่างล้นหลามในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาได้ระบุถึง ‘คติสี่ประการ’ ของลัทธิพาณิชยนิยมสมัยใหม่ไว้ ดังนี้ 

      1. รัฐมีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ เพื่อเพิ่มความมั่งคั่งและความแข็งแกร่งของชาติ 2. ดุลการค้ามีความหมายต่อความมั่งคั่งของชาติ โดยรัฐพยายามเลี่ยงไม่ให้เกิดการขาดดุลการค้า 3. นโยบายอุตสาหกรรมถูกนำมาใช้เพื่อส่งเสริมการพึ่งพาตนเองและความมั่นคง (เช่น การพัฒนาอุตสาหกรรมกลาโหมหรือเทคโนโลยีสำคัญในประเทศ) และ 4. การปกป้องบริษัทแห่งชาติ (National Champions) โดยรัฐมักให้ความคุ้มครองหรือสนับสนุนบริษัทสำคัญของตนไม่ให้พ่ายแพ้ต่อคู่แข่งต่างชาติ 

      หลักการพาณิชยนิยมที่เคยถูกมองว่าเชยและล้าสมัยไปแล้วในยุคโลกาภิวัตน์ กลับถูกหยิบยกมาใช้อย่างจริงจังอีกครั้งจากฝั่งสหรัฐฯ โดยหลังผ่านยุคทรัมป์ 1.0 รัฐบาลไบเดนยังคงสานต่อนโยบายอุตสาหกรรมเชิงรุก แม้จะสนับสนุนพหุภาคีมากกว่าทรัมป์ แต่ก็ให้ความสำคัญกับการฟื้นฟูการผลิตในประเทศ การปกป้องความมั่นคงทางเศรษฐกิจและการแข่งขันกับจีน ตัวอย่างเช่น กฎหมาย IRA และ CHIPS Act ที่อัดฉีดเงินหลายหมื่นล้านดอลลาร์เพื่อหนุนพลังงานสะอาดและการผลิตเซมิคอนดักเตอร์ พร้อมเงื่อนไขให้ผลิตในอเมริกาเหนือหรือประเทศพันธมิตรเท่านั้น สะท้อนแนวคิดการสร้าง บริษัทยักษ์ใหญ่ของชาติ (National Champions)’ และลดการพึ่งพาต่างชาติแบบพาณิชยนิยม 

      ทางฝั่งจีนเองก็มีแนวคิดในทำนองเดียวกัน โดยรัฐบาลปักกิ่งผลักดันแผน ‘Made in China 2025” มาตั้งแต่ปี 2015 ตั้งเป้าเพิ่มสัดส่วนการผลิตชิ้นส่วนและสินค้าไฮเทคภายในประเทศให้ได้ 70% ใน 10 อุตสาหกรรมยุทธศาสตร์ เช่น หุ่นยนต์ AI และยานยนต์ไฟฟ้า โดยทุ่มงบประมาณมหาศาลผ่านกองทุนกว่า 800 กองทุน ส่งสัญญาณชัดว่าจีนต้องการจะพัฒนาและพึ่งพาเทคโนโลยีของตัวเอง ลดการนำเข้าและก้าวขึ้นเป็นผู้นำในตลาดโลก โดยนโยบายนี้ถูกวิจารณ์จากฝั่งตะวันตกว่าไม่เป็นธรรม และเป็นการบิดเบือนการแข่งขันเสรี ทำให้อุตสาหกรรมต่างชาติเสียเปรียบหรือถูกบีบให้ออกจากตลาดจีน 

      ขณะที่ ยุโรปก็ไม่อาจนิ่งเฉยได้ เมื่อทั้งจีนและสหรัฐฯ ต่างดำเนินนโยบายปบบพาณิชยนิยมที่ดุดัน ประธานาธิบดีเอ็มมานูเอล มาครง แห่งฝรั่งเศสถึงกับกล่าวว่า โลกนี้มีทั้งผู้ล่าและเหยื่อ บ่งชี้ถึงความกังวลว่าหากยุโรปไม่ตอบโต้ นโยบายอุดหนุนของมหาอำนาจจะทำให้อุตสาหกรรมยุโรปเสียเปรียบอย่างหนัก และจะตกเป็น เหยื่อของสมรภูมิดังกล่าวในท้ายที่สุด ดังนั้น สหภาพยุโรปจึงเริ่มเดินหน้านโยบายอุตสาหกรรมอย่างจริงจัง เช่น European Chips Act เพื่อสร้างความสามารถในการผลิตเซมิคอนดักเตอร์ และการปรับกฎ State Aid เพื่อสนับสนุนพลังงานสะอาดและเทคโนโลยีใหม่ นักวิเคราะห์มองว่านี่อาจเป็นการเปิดฉาก สงครามเงินอุดหนุนระหว่างกลุ่มประเทศตะวันตกเอง คล้ายกับการแข่งขันพาณิชยนิยมในอดีตที่รัฐแย่งกันสนับสนุนอุตสาหกรรมยุทธศาสตร์ของตัวเองให้ได้เปรียบคู่แข่ง

iStock 1300746207 scaled

แล้วพาณิชยนิยมที่แท้จริงสามารถจำแนกได้อย่างไร
แบบไหนใช่ แบบไหนไม่ใช่?

      ไม่ใช่ทุกการอุดหนุนจากรัฐจะเข้าข่าย พาณิชยนิยม’ โดยในบางครั้ง การแทรกแซงของรัฐเป็นไปเพื่อการส่งเสริมสวัสดิการ หรือประสิทธิภาพในประเทศ แต่หากมีลักษณะดังต่อไปนี้ ก็ควรจับตาว่าอาจสะท้อนแนวคิดแบบพาณิชยนิยม  

เป้าหมายของนโยบาย หากรัฐอุดหนุนเพื่อลดการนำเข้าเพิ่มการส่งออก เพื่อให้ได้ดุลการค้า ไม่ใช่เพื่อการพัฒนาประสิทธิภาพ หรือสวัสดิการระยะยาว ก็อาจนับว่าเข้าใกล้พาณิชยนิยมมากแล้ว 

      พฤติกรรมในตลาดโลก หากรัฐใช้รัฐวิสาหกิจ หรือกองทุนพิเศษต่าง เพื่อเทขาย (Dumping) สินค้าราคาถูกในตลาดโลก หรือกีดกันคู่แข่งจากต่างชาติ ก็อาจเข้าข่ายเข้าข่ายบิดเบือนตลาด (Market Intervention) ได้ อย่างไรก็ตาม บางกรณีการสนับสนุนของรัฐ (Subsidy) อาจเป็นไปเพื่อการช่วยเหลือภาคธุรกิจ หรืออุตสาหกรรมในยามที่ประสบกับวิกฤตในระยะสั้น (เช่น ภัยธรรมชาติ วิกฤตเศรษฐกิจรุนแรง) โดยไม่ได้มีเป้าหมายเพื่อที่จะแย่งส่วนแบ่งการตลาดก็อาจไม่สามารถนับว่าเป็นการใช้นโยบายภายใต้แนวคิดพาณิชยนิยม หากแต่ในระยะยาว การวางกลยุทธ์ดังกล่าวอาจถูกนับว่าเป็นการพฤติกรรมที่เข้าข่ายอยู่ดี โดยเฉพาะการสนับสนุนของรัฐ ที่ส่งผลให้เกิดการได้เปรียบคู่แข่งในตลาดอย่างชัดเจน 

      การใช้ทรัพยากรเป็นอาวุธ หากรัฐควบคุมทรัพยากรยุทธศาสตร์ เช่น Rare Earth หรือ Semiconductors แล้วใช้เป็นเครื่องมือต่อรองทางภูมิรัฐศาสตร์ อาจถือได้ว่าเป็นพฤติกรรมแบบพาณิชยนิยมเต็มรูปแบบ อย่างไรก็ตามการแยกแยะเหล่านี้ไม่ได้มีสูตรตายตัว โดยควรจะพิจารณาร่วมกันทั้งวัตถุประสงค์ทางนโยบาย กลไกที่ใช้ และผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจและการค้าโลก เพื่อไม่ให้เข้าใจผิดว่านโยบายที่มุ่งเน้นการส่งเสริมอุตสาหกรรม หรือยกระดับความสามารถในการแข่งขันภายในประเทศทุกอย่าง คือพาณิชยนิยมโดยอัตโนมัติ

โลกใหม่ที่ภูมิรัฐศาสตร์นำหน้าเศรษฐศาสตร์

     ในปัจจุบัน เราได้ก้าวเข้าสู่ยุคที่ภูมิรัฐศาสตร์เข้ามาขับเคลื่อนเศรษฐกิจมากกว่าตลาดเสรี (Geopolitics Trump Economics) ลัทธิพาณิชยนิยมยุคใหม่ นี้ไม่ใช่การหวนกลับไปสู่ระบบเศรษฐกิจแบบปิดหรือการกีดกันเฉกเช่นในอดีต หากแต่เป็นการปรับสมดุลระหว่าง รัฐ กับ ตลาด โดยรัฐพร้อมยอมเสียความมีประสิทธิภาพเพื่อรักษาความมั่นคงทางเศรษฐกิจและเทคโนโลยี แม้อาจทำให้โลกาภิวัตน์ชะลอตัวและเกิดความขัดแย้งทางเศรษฐกิจบ้าง แต่ก็เป็นการตอบสนองต่อความท้าทายของยุคสมัยที่เต็มไปด้วยการแข่งขันและการแย่งชิงความเป็นที่หนึ่งในอุตสาหกรรมแห่งอนาคต โดยให้ความสำคัญกับกฎ กติกา และมารยาทของการทำการค้าในโลกเสรีน้อยลง 

      สำหรับประเทศกำลังพัฒนา เช่น ไทย ซึ่งเคยได้รับประโยชน์จากยุคโลกาภิวัตน์และการค้าเสรี แต่ปัจจุบันต้องเผชิญแรงกดดันจากการแบ่งขั้วทางภูมิรัฐศาสตร์ และการจัดระเบียบห่วงโซ่อุปทานโลกใหม่ ทำให้ไทยจำเป็นต้องรักษาสมดุลระหว่างจีน (คู่ค้าและนักลงทุนใหญ่) กับสหรัฐฯ และพันธมิตรตะวันตก (ที่สำคัญต่อความมั่นคงและตลาดส่งออก) ให้เหมาะสม โดยไม่ว่าอย่างไร เราคาดว่าลัทธิพาณิชยนิยมใหม่จะไม่จากไปง่ายๆ จากสัญญาณของมหาอำนาจในโลก และกระแสแนวคิดของประเทศต่าง ๆ ที่สะท้อนว่ามันจะเป็นแนวคิดกระแสหลักต่อไปอีกหลายปี หรืออีกหลายทศวรรษข้างหน้า ดังนั้น ประเทศไทยจึงต้องหาจุดแข็ง วางกรอบยุทธศาสตร์ให้ชัดเจน ยืดหยุ่น และพร้อมร่วมมือกับทุกฝ่ายในโลกใบใหม่นี้ แม้กฎของเกมจะเปลี่ยนไป แต่โอกาสจะอยู่ข้างผู้เล่นที่พร้อมจะปรับตัวเสมอ 

iStock 1278411757 scaled
Trust Magazine by TISCO
Scroll to Top
ไอคอน PDPA

เว็บไซต์นี้มีการจัดเก็บคุกกี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการใช้งานเว็บไซต์ของท่านให้ดียิ่งขึ้น และนำเสนอโฆษณาที่เกี่ยวข้องและตรงกับความสนใจของท่าน โดยท่านสามารถศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้จาก นโยบายการใช้คุกกี้ กรุณากดยอมรับเพื่อยินยอมให้เราใช้คุกกี้

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    เปิดใช้งานตลอด

    ประเภทของคุกกี้มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้ได้อย่างเป็นปกติ และเข้าชมเว็บไซต์ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้
    รายละเอียดคุกกี้

  • คุกกี้ที่จำเป็น

    ประเภทของคุกกี้มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้ได้อย่างเป็นปกติ และเข้าชมเว็บไซต์ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้

บันทึกการตั้งค่า