4 ปัจจัยบวก ผลักดันผลตอบแทนหุ้นทั่วโลกปรับขึ้นครึ่งปีหลัง
นิตยสาร Trust ฉบับที่ 69 | คอลัมน์ Wealth Manager Talk

ตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบัน ดัชนี MSCI World ที่เป็นตัวแทนของราคาหุ้นทั่วโลกให้ผลตอบแทน +10% แต่ในระหว่างทางการลงทุนนั้นมีเหตุการณ์สำคัญหลัก ๆ ที่ทำให้นักลงทุนยังมีความกังวลกับการลงทุนในตลาดหุ้น เช่น อัตราเงินเฟ้อของประเทศหลักอย่างสหรัฐอเมริกายังลดลงช้ากว่าคาด ประกอบกับความขัดแย้งระหว่างประเทศ ระหว่างอิสราเอลและอิหร่าน ที่ทำให้ตลาดหุ้นทั่วโลกปรับลดลง -5% ภายใน 3 สัปดาห์เท่านั้น รวมไปถึงปัจจัยด้านการเมืองของสหรัฐฯ ที่ตลาดยังรอทิศทางนโยบายของรัฐบาลชุดใหม่ อย่างไรก็ดี จังหวะที่ตลาดรอความชัดเจนอาจเป็นโอกาสที่นักลงทุนจะสามารถเพิ่มน้ำหนักการลงทุนในหุ้นได้ โดยมี 4 ปัจจัยลงทุนที่สนับสนุนเหล่านี้
1. นโยบายการเงินประเทศหลักจะมีทิศทางผ่อนคลายมากขึ้น จากทิศทางเงินเฟ้อที่ลดลงเข้าใกล้เป้าหมาย โดยฝั่งสหรัฐฯ นั้นแม้ว่าปัจจุบัน Core PCE ที่ +2.8% YoY ยังสูงกว่าที่ธนาคารกลาง (Fed) ตั้งเป้าหมายไว้ที่เฉลี่ยปีละ 2% แต่ก็มีทิศทางชะลอตัวลงมาตลอด 2 ปี และเป็นระดับที่มีส่วนต่างจากดอกเบี้ยนโยบายปัจจุบันที่ 5.25-5.50% เกือบ 2 เท่า ขณะที่เงินเฟ้อ Core CPI ของยุโรปปัจจุบันที่ +2.7% ก็มีการชะลอตัวลงมา 1 ปี และต่ำกว่าอัตราดอกเบี้ยนโยบายของยุโรปในปัจจุบันเช่นกัน อีกทั้งการลดดอกเบี้ยนโยบายครั้งล่าสุดของฝั่งยุโรปไป 0.25% ยิ่งเปิดโอกาสให้ Fed จะลดดอกเบี้ยตาม ซึ่ง 2 กลุ่มประเทศนี้มักกำหนดทิศทางนโยบายการเงินสอดคล้องกันตลอด 20 ปีที่ผ่านมา ดังแผนภาพที่ 1 ซึ่งการลดดอกเบี้ยนโยบายจะช่วยให้มูลค่าของหุ้นปรับขึ้นจากการประเมินมูลค่าของนักวิเคราะห์ โดยนับตั้งแต่ปี 1989 จนถึง 2019 ที่ Fed เริ่มลดดอกเบี้ย หลังจากนั้นในอีก 6 เดือน ตลาดหุ้นทั่วโลกจะเพิ่มขึ้นทั้งตลาดหุ้นประเทศพัฒนาแล้ว (DM) และประเทศตลาดเกิดใหม่ (EM)


2. เศรษฐกิจของประเทศหลักที่ยังฟื้นตัวได้ แม้ว่าสหรัฐฯ เพิ่งจะรายงาน GDP ไตรมาสแรกของปี 2024 ออกมาเพียง +1.3% QoQ ลดลงจากตัวเลขเบื้องต้นที่ประกาศไว้เดิมที่ +1.6% จากการนำเข้าที่เพิ่มขึ้นถึง +7.7% QoQ แต่เมื่อพิจารณาดัชนีชี้นำเศรษฐกิจช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา ด้วยดัชนีฝ่ายจัดซื้อรวม (Composite PMI) ของสหรัฐฯ ของสถาบันวิจัย S&P Global เดือนพฤษภาคมกลับมาเร่งตัวขึ้นสูงที่สุดในรอบ 2 ปี อยู่ที่ 54.3 จุด ซึ่งความสัมพันธ์ระหว่าง PMI กับ GDP มักเป็นไปในทางเดียวกัน
ดังนั้น PMI ที่เร่งตัวขึ้นในเดือนพฤษภาคมอาจคาดได้ว่า GDP ไตรมาสถัดไปของสหรัฐฯ จะกลับมาฟื้นตัวต่อได้ ขณะที่ประเทศจีนรายงาน GDP ไตรมาสแรกปี 2024 ออกมา +1.6% QoQ เป็นการเร่งตัวขึ้นต่อเนื่องไตรมาสที่ 2 และเพิ่มขึ้นรายไตรมาสสูงสุดในรอบ 1 ปี อีกทั้ง PMI ที่ยังมีทิศทางขยายตัวน่าจะทำให้เศรษฐกิจจีนยังมีทิศทางสดใส ดังนั้น นักวิเคราะห์จึงทยอยปรับประมาณการ GDP ทั้งปี 2024 ของโลกเพิ่มขึ้นจากที่ประเมินไว้ต้นปี +2.6% YoY สู่ +2.9% YoY ซึ่งเร่งตัวขึ้นทั้งฝั่งประเทศพัฒนาแล้ว (DM) และประเทศตลาดเกิดใหม่ (EM)

3. นักวิเคราะห์ทยอยปรับคาดการณ์กำไรของบริษัทจดทะเบียนเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง จากภาวะเศรษฐกิจที่ดีขึ้นในปีนี้ ทำให้นักวิเคราะห์ปรับประมาณการกำไรของบริษัทจดทะเบียนทั่วโลกเพิ่มขึ้นตั้งแต่ต้นปีราว +4.8% โดยแบ่งเป็นกลุ่มประเทศ DM ที่ปรับเพิ่มขึ้น +4.8% โดยการปรับคาดการณ์กำไรเพิ่มขึ้นทำให้ระดับ P/E Ratio 12 เดือนข้างหน้าของตลาดหุ้น DM ลดลงมาซื้อขายที่ราว 17 เท่าซึ่งใกล้เคียงกับค่าเฉลี่ย และได้ปรับลดลงมาจาก 18 เท่าเมื่อช่วงต้นปี แม้ดัชนีจะต่ำกว่านี้ราว 6% ก็ตาม ขณะที่ตลาดหุ้นฝั่ง EM มีระดับ P/E Ratio 12 เดือนข้างหน้าเพียง 11.2 เท่า และต่ำกว่าค่าเฉลี่ยราว 6% ซึ่งการเพิ่มน้ำหนักลงทุนช่วงที่ Valuation ใกล้เคียงค่าเฉลี่ยจะช่วยให้การลงทุนในหุ้นมีความเสี่ยงต่ำลงได้

4. กระแสการเลือกตั้งในสหรัฐฯ มักมีผลตอบแทนดีกว่าค่าเฉลี่ยเมื่อประธานาธิบดีลงเลือกตั้งป้องกันตำแหน่ง โดยมีแนวคิดว่าประธานาธิบดีจะมีแนวทางนโยบายเชิงบวกต่อเศรษฐกิจเพื่อสร้างคะแนนเสียง โดยสถิติย้อนหลังที่ประธานาธิบดีลงป้องกันตำแหน่งตั้งแต่ปี 1944 พบว่าโดยเฉลี่ยตลาดหุ้นจะปรับขึ้น 16.48% โดยตลาดหุ้นจะให้ผลตอบแทนเป็นบวก 100% ขณะที่ตลาดหุ้นแต่ละปีนับตั้งแต่ปี 1944 จะมีผลตอบแทนเฉลี่ยที่ 15.06% อีกทั้งในปีที่มีการเลือกตั้งแต่ไม่มีประธานาธิบดีลงสมัครป้องกันตำแหน่ง ตลาดหุ้นมีผลตอบแทนเฉลี่ยต่อปีน้อยที่สุดหรือเพียง 11.06% โดยในปี 2024 ประธานาธิบดี โจ ไบเดนชนะเลือกตั้งขั้นต้นเพื่อลงชิงตำแหน่งประธานาธิบดีอย่างไม่เป็นทางการไปแล้ว เมื่อช่วงเดือนมีนาคมที่ผ่านมา

4 ปัจจัยที่กล่าวไปข้างต้นนั้น จะเป็นปัจจัยสนับสนุนที่จะช่วยสร้างผลตอบแทนแก่นักลงทุนได้ โดยอาศัยจังหวะที่ตลาดหุ้นมีความผันผวนตามความกังวลกับเหตุการณ์ต่าง ๆ ทั้งความไม่แน่นอนของนโยบายการเงินรวมทั้งปัญหาของความขัดแย้งระหว่างประเทศเพิ่มน้ำหนักการลงทุนหุ้นต่างประเทศที่ยังมีการเติบโตของกำไรที่ดี Valuation เหมาะสมกับการลงทุน และเมื่อความกังวลคลี่คลายลงราคาหุ้นจะปรับขึ้นตามทิศทางสนับสนุนต่าง ๆ ที่จะคงอยู่ต่อไปตลอดปี 2024 นี้