MSU-SOS รถรักษาอัมพาตเบ็ดเสร็จที่จุดเดียว หนึ่งในระบบที่ดีที่สุดของโลกในการรักษาโรคหลอดเลือดสมองเฉียบพลัน
นิตยสาร Trust ฉบับที่ 69 | คอลัมน์ Health Focus

“โรคหลอดเลือดสมอง” หรือที่รู้จักกันในชื่อ Stroke ภัยเงียบที่เป็นต้นเหตุแห่งความพิการ อัมพฤกษ์ อัมพาต โดยพบว่าคนไทย 2% หรือ 1,880 คนต่อ 100,000 คนเป็นโรคนี้ แต่ความพิการดังกล่าวสามารถหลีกเลี่ยงได้ หากได้รับการรักษาอย่างทันท่วงทีภายใน 270 นาที หรือประมาณ 4 ชั่วโมงครึ่ง จากความน่าสนใจของการรักษาโรคดังกล่าว นิตยสาร TRUST ฉบับนี้ จึงขอพาไปพบกับรถรักษาอัมพาตเบ็ดเสร็จที่จุดเดียว (Mobile Stroke Unit - Stroke One Stop: MSU-SOS) ในโครงการรถพยาบาลเคลื่อนที่รักษาผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองเฉียบพลัน โรงพยาบาลศิริราช” หรือ Siriraj Mobile Stroke Unit
ความร้ายแรงของโรคหลอดเลือดสมองที่นำไปสู่ความพิการหรือถึงขั้นเสียชีวิต มีสาเหตุจากสมองขาดเลือดไปหล่อเลี้ยง ทุก 1 นาที เซลล์สมอง 2 ล้านตัวจะตายจากการขาดเลือด จึงเป็นที่มาว่าทำไมจึงต้องรักษาให้เร็วที่สุด ไม่ต้องรอถึงนาทีสุดท้าย โดย รศ. นพ.ยงชัย นิละนนท์ ประธานศูนย์โรคหลอดเลือดสมองศิริราช ระบุถึงสาเหตุความจำเป็นเร่งด่วนของการรักษาพร้อมอธิบายเพิ่มเติมว่า โรคหลอดเลือดสมอง แบ่งเป็น 2 ประเภทใหญ่ คือหลอดเลือดสมองตีบหรืออุดตัน คิดเป็น 80% ของผู้ที่เป็นโรคนี้ และหลอดเลือดสมองแตก พบประมาณ 20% ของผู้ที่เป็นโรคนี้
เปิดหลอดเลือดให้เร็วที่สุด
การรักษาโรคหลอดเลือดชนิดตีบในปัจจุบันก้าวหน้าขึ้นมาก หลักการคือต้องเปิดหลอดเลือดให้เร็วที่สุด โดยมีวิธีการอยู่ 2 วิธี ได้แก่ การใช้ยาสลายลิ่มเลือดและการใช้สายสวนดึงลิ่มเลือดขนาดใหญ่ออก ซึ่งระยะเวลาที่ฉีดยาได้มีประมาณ 4 ชั่วโมงครึ่งหรือ 270 นาที ซึ่งเริ่มนับหนึ่งตั้งแต่เกิดอาการจนกระทั่งฉีดยา แต่ยิ่งเร็วเท่าไรยิ่งได้ผลดีเท่านั้น หากผู้ได้รับการฉีดยาภายใน 30 นาทีแรกจะมีโอกาสหายมากกว่านาทีที่ 270
“กลุ่มที่ฉีดยาภายใน 90 นาทีแรกมีโอกาสหายสูงถึง 3 เท่าเมื่อเทียบกับกลุ่มที่ฉีดยาภายใน 4 ชั่วโมงครึ่ง และกลุ่มที่ฉีดยาภายใน 4 ชั่วโมงครึ่งก็มีโอกาสหายมากกว่ากลุ่มที่ไม่ได้รับยา เราจึงไม่ได้มุ่งเป้าที่ 270 นาที แต่มุ่งเป้าที่เร็วที่สุด”
ประกันสุขภาพถ้วนหน้าครอบคลุมทุกสิทธิ
บางกรณีที่ลิ่มเลือดมีขนาดใหญ่ต้องใช้ทั้ง 2 วิธี โดยฉีดยาสลายลิ่มเลือดก่อน จากนั้นใช้สายสวน ซึ่งจะยืดเวลาได้นานถึง 6-24 ชั่วโมง แต่การใช้สายสวนต้องใช้ทีมที่มีประสบการณ์ เชี่ยวชาญ มีเครื่องไม้เครื่องมือพร้อม ทำได้ในโรงพยาบาลขนาดใหญ่ของรัฐและเอกชน โรงเรียนแพทย์ โดยมีค่าใช้จ่ายสูง ถ้าเป็นโรงพยาบาลรัฐอยู่ที่ประมาณ 300,000 บาทต่อครั้ง ส่วนโรงพยาบาลเอกชนจะอยู่ที่ 600,000-1,000,000 บาท ขณะที่ฉีดยาราคา 30,000-60,000 บาท อย่างไรก็ตาม ทั้งการใช้ยาและการใช้สายสวน ครอบคลุมอยู่ในสิทธิประกันสุขภาพถ้วนหน้าที่ประชาชนไทยทุกคนมีสิทธิ
“พอเป็นโรคหลอดเลือดสมองบอกได้เลยว่า มีโอกาส 5% ที่จะตาย 70% พิการ เช่น อ่อนแรงครึ่งซีก ชาครึ่งซีก พูดไม่ได้ เดินกะเผลก มี 25% ที่ฟื้นใกล้เคียงปกติ ขึ้นอยู่กับว่าได้รับการรักษาเบื้องต้นเร็วเพียงใด” รศ. นพ.ยงชัย ชี้ให้เห็นความสำคัญเรื่องความเร่งด่วนของการเข้ารับการรักษา ยิ่งเร็วยิ่งลดอัตราความพิการหรือเสียชีวิตได้
แม้ผ่านการรักษาแล้ว คนไข้จะฟื้นตัวกลับมาใกล้เคียงปกติ แต่เมื่อสำรวจละเอียดจะพบปัญหาด้านความจำ การตัดสินใจที่ซับซ้อน สมองเสื่อม ยิ่งประเทศไทยเข้าสู่สังคมสูงวัยยิ่งเห็นภาระโรค เพราะอายุเป็นหนึ่งในปัจจัยเสี่ยงของการเกิดโรคสมองเสื่อม ยิ่งอายุมาก โอกาสยิ่งเพิ่มขึ้นหากไม่ระมัดระวัง อนาคตภาพระดับประเทศที่จะพบ คือสังคมสูงวัยที่พิการและสมองเสื่อม ซึ่งจะสร้างความลำบากแก่ตัวเอง ผู้ดูแล และประเทศชาติ ครอบครัวมีภาระค่าใช้จ่ายในการดูแลหลายหมื่นบาทต่อคนต่อเดือน จึงต้องป้องกันและรักษาให้มีประสิทธิภาพ
MSU-SOS รักษาอัมพาตเบ็ดเสร็จที่จุดเดียว
ศูนย์โรคหลอดเลือดสมองศิริราช จึงได้จัดทำโครงการคู่ขนาน 2 โครงการเพื่อการรักษาและการป้องกัน โดยโครงการรักษา คือ รถพยาบาลเคลื่อนที่รักษาผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองเฉียบพลันโรงพยาบาลศิริราช หรือรถรักษาอัมพาตเบ็ดเสร็จที่จุดเดียว MSU-SOS ซึ่งเริ่มดำเนินการในปี 2561 เป็นระบบที่ดีที่สุดในโลกแห่งหนึ่ง ก่อนขยายผลสู่นโยบายระดับชาติ โดยได้รับความร่วมมือจาก 4 กระทรวง คือ กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงมหาดไทย กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม กับอีก 2 หน่วยงาน คือ สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) และมูลนิธิโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราช
ภายในรถจะเสมือนโรงพยาบาลขนาดย่อม โดยมีวิธีดำเนินการตั้งแต่รับตัวผู้ป่วยมาสแกนสมอง จนถึงฉีดยา ฉีดสี โดยติดตั้งเครื่องสแกนสมอง เพื่อแยกอาการระหว่าง “หลอดเลือดแตก”กับ “หลอดเลือดตีบ” เพราะการรักษาแตกต่างกัน ระบบรักษาทางไกล (Telemedicine) ที่เชื่อมต่อให้แพทย์ผู้ชำนาญการเฉพาะโรคสมองซึ่งมีเพียง 700 – 800 คนทั่วประเทศเข้ามาอยู่เวรดูผลแบบเรียลไทม์และให้คำแนะนำแก่แพทย์ประจำรถทันท่วงที โดยระบบนี้ต้องเป็นระบบที่เชื่อถือได้ การอัปโหลด ดาวน์โหลดภาพสแกนต้องเรียลไทม์ เพราะเป็นการตัดสินความตายความพิการของผู้ป่วย ดังนั้น สถานที่ตั้งรถจะต้องมีสัญญาณอินเทอร์เน็ตที่เสถียร โดยบนรถ 1 คันจะมีเจ้าหน้าที่ 4 คน ประกอบด้วย แพทย์ พยาบาล นักรังสีการแพทย์ และพนักงานขับรถ


ติดต่อ 1669 เข้ารับบริการ
ส่วนการเข้าถึงบริการ MSU-SOS ประชาชนสามารถโทรติดต่อที่เบอร์ 1669 ศูนย์เอราวัณ เพื่อนำรถพยาบาลทั่วไปเข้ารับผู้ป่วย และนำส่งรถ MSU-SOS เพื่อสแกนสมองและฉีดยาสลายลิ่มเลือด หรือกรณีต้องใช้สายสวนจะประสานส่งต่อโรงพยาบาลศิริราช เพื่อเตรียมพร้อมรับผู้ป่วย
ทั้งนี้ ผู้ป่วยที่ส่งตัวไปโรงพยาบาลด้วยวิธีการนี้จะมีโอกาสในการรักษาสูงกว่าการเดินทางเอง และมีโอกาสหายใกล้เคียงปกติถึง 2 เท่า มีโอกาสได้รับยาหรือใส่สายสวนหลอดเลือดเปิดหลอดเลือดสูงถึง 50% ขณะที่กลุ่มอื่นจะมีโอกาสเพียง 10 – 15%
“ช่วงขยายผลที่มหาวิทยาลัยบูรพามีผู้ป่วยหญิงรายหนึ่งเข้ามาด้วยอาการอ่อนแรง เดินไม่ได้ พูดไม่ชัด แต่รู้ตัว อายุ 60 กว่า ๆ ผมอยู่เวรรับปรึกษา Telemedicine พอสแกนเบื้องต้นไม่มีเลือดออก มองเห็นบริเวณแกนสมองมีความทึบของหลอดเลือด บ่งบอกถึงการมีลิ่มเลือดอุดอยู่ ปกติถ้าไม่ฉีดสีจะมองไม่เห็น หมอจบใหม่หรือไม่มีประสบการณ์จะมองไม่ออก ผมให้ฉีดยาเสร็จและฉีดสีต่อเลย ยืนยันผลหลอดเลือดใหญ่อุดตัน ให้ส่งต่อมาศิริราชทันที ใช้เวลาเดินทาง 1 ชั่วโมงครึ่ง ทุกวันนี้ผู้ป่วยที่มา ทราบภายหลังว่าเป็นอดีตพยาบาล ใช้ชีวิตเป็นปกติแล้ว”
เพิ่มรถ-ขยายขอบเขตบริการ
ปัจจุบันมีรถรักษาอัมพาตเบ็ดเสร็จที่จุดเดียวทั้งสิ้น 7 คัน มูลค่าประมาณ 30-35 ล้านบาทต่อคัน ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากภาคเอกชน ประชาชน และรัฐ กระจายอยู่ในพื้นที่ภาคใต้ และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ รวม 5 คัน อีก 2 คันอยู่ที่โรงพยาบาลศิริราช ให้บริการพื้นที่กรุงเทพฯ ฝั่งตะวันตกของแม่น้ำเจ้าพระยาและนนทบุรี ซึ่งภายในปี 2569 จะมีรถเพิ่มอีก 21 คัน จากงบประมาณของกระทรวงมหาดไทย เพื่อกระจายไปให้บริการยังพื้นที่ห่างไกลทั่วประเทศ ที่โรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชตั้งอยู่
นอกจากนี้ การเข้ารับการรักษาผ่านระบบจะมีแพลตฟอร์มรองรับ เมื่อเจ้าหน้าที่ซักถามประวัติผู้ป่วย จะนำข้อมูลที่ได้รับเข้าสู่แพลตฟอร์ม ซึ่งแพทย์ผู้เชี่ยวชาญจะเรียกดูได้ และแผนงานในอนาคตข้างหน้าจะพัฒนาระบบให้รองรับการให้บริการระดับดึงข้อมูลผู้ป่วยจากโรงพยาบาลที่รักษาประจำอยู่เดิมมาใช้ร่วมด้วย และเป็นระบบที่แพทย์ผู้ชำนาญการจากประเทศต่าง ๆ ทั่วโลกเข้ามาใช้งาน ให้คำปรึกษาได้ รวมถึงให้บริการแก่ผู้ป่วยในพื้นที่ห่างไกลและขาดแคลนของประเทศอื่น ๆ ได้อย่างไร้ขอบเขต ลดปัญหาการขาดแคลนแพทย์ และช่วยเหลือมวลมนุษยชาติโดยไม่มีข้อจำกัด


สุขภาพที่ดีเป็นหน้าที่ของทุกคน
แม้ทุกคนจะมีสิทธิเข้ารับการรักษาแต่ต้องมีหน้าที่คือการดูแลตัวเอง การจะมีชีวิตยืนยาวอย่างมีคุณภาพ ในผู้สูงวัยต้องมี 3M คือ Mobility เดินได้ เคลื่อนไหวช่วยตัวเองได้ Mood ไม่ตกอยู่ในอารมณ์ลบ และ Memory ต้องจำได้ อย่างน้อย ๆ คือ จำเรื่องที่ต้องใช้ในชีวิตประจำวันได้ สำหรับการป้องกันโรค ทุกคนควรปฏิบัติตามบัญญัติ 10 ประการ หลีกเลี่ยง 4 โรค คือ ความดันสูง เบาหวาน ไขมันในเลือดสูง หัวใจเต้นผิดจังหวะ และ 6 พฤติกรรม คืออย่าอ้วน ออกกำลังกาย กินผัก งดเหล้า งดบุหรี่ (รวมถึงสารเสพติดต่าง ๆ ทั้งยาบ้า กระท่อม กัญชา) และอย่าเครียด

“แสงนำใจไทยทั้งชาติ” โครงการชวนเดิน วิ่ง ปั่น ป้องกันอัมพาต
ส่วนโครงการป้องกัน คือ โครงการแสงนำใจไทยทั้งชาติ เดิน วิ่ง ปั่น ป้องกันอัมพาต เฉลิมพระเกียรติ ซึ่งปีนี้จัดเป็นปีที่ 10 ซึ่งจัดพร้อมกันทั่วประเทศ ในวันที่ 2 พฤศจิกายน 2567 มีเป้าหมายผู้เข้าร่วม 1 ล้านคน เพื่อให้คนไทยรู้จักดูแลสุขภาพของตัวเอง ขอเชิญชวนทุกท่านมาร่วมกิจกรรมกันครับ
ร่วมบริจาคเพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยชีวิตผู้ป่วยได้ที่ศิริราชมูลนิธิในหลายช่องทาง
โดยสามารถติดตามข้อมูลรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่
เพจเฟซบุ๊ก : ศิริราชมูลนิธิ Siriraj Foundation
ธนาคารกรุงเทพ สาขาโรงพยาบาลศิริราชปิยมหาราชการุณย์
เลขที่บัญชี 901 – 704 – 3333
หรือ บริจาคที่ศิริราชมูลนิธิ
กองทุน แสงนำใจไทยทั้งชาติ เดิน วิ่ง ปั่น ป้องกันอัมพาต ครั้งที่ 10 เฉลิมพระเกียรติ (D004310) โทร. 0 2414 1414