3 ฟาร์มสเตย์น่าพัก พาคุณไปหลงรักวิถีธรรมชาติในเมืองรอง

นิตยสาร Trust ฉบับที่ 57 | คอลัมน์ Going Away

การท่องเที่ยวเชิงเกษตร ถือเป็นอีกหนึ่งทางเลือกของการท่องเที่ยวในรูปแบบ Ecotourism ที่กำลังมาแรงอย่างต่อเนื่อง และได้รับความนิยมมากขึ้นหลัง COVID-19 เพราะทุกคนต่างโหยหาการท่องเที่ยวแบบธรรมชาติ เพื่อที่จะได้ออกไปสูดอากาศบริสุทธิ์ได้อย่างเต็มปอด สัมผัสธรรมชาติได้อย่างใกล้ชิด และใช้ชีวิตแบบสโลว์ไลฟ์ได้อย่างเต็มที่ พร้อมได้เรียนรู้ประสบการณ์วิถีชีวิตเกษตรที่เรียบง่าย ซึ่งฟาร์มสเตย์น่าจะเป็นจุดหมายปลายทางที่ตอบโจทย์ในขณะนี้ และทุกวันนี้ไม่ว่าจะสแกนไปมุมไหน จะพบว่ามีที่พักสไตล์ฟาร์มสเตย์ ไว้ต้อนรับนักท่องเที่ยวสาย Eco-friendly อยู่มากมาย TRUST ฉบับนี้จะพาคุณไปสำรวจฟาร์มสเตย์ในเมืองรองที่น่าพัก จนคุณต้องตกหลุมรัก และอยากกลับไปใช้ชีวิต Back to Basic อีกครั้ง 

file

ไร่แสงอรุณ เชียงราย สัมผัสธรรมชาติริมฝั่งโขง 

หากคุณกำลังมองหาทริปพักผ่อนอันแสนพิเศษ ที่จะได้สััมผัสกับบรรยากาศดีๆ ใกล้ชิดกับธรรมชาติได้อย่างเต็มอิ่ม ขอแนะนำ ไร่แสงอรุณ หมู่บ้านผากุบ อำเภอ เชียงของ จังหวัดเชียงราย ที่สร้างขึ้นจากแรงบันดาลใจที่ต้องการผสมผสานการท่องเที่ยวเชิงเกษตรกับรีสอร์ทเพื่อสุขภาพเข้าด้วยกัน แน่นอนว่าพักที่นี่จะได้สัมผัสกับความสงบและเป็นส่วนตัวของที่พัก วิวเทือกเขาสลับซับซ้อน ความยิ่งใหญ่ของลุ่มน้ำโขง อากาศที่เย็นสบายตลอดทั้งปี และวิถีชีวิตเกษตรที่เรียบง่าย ซึ่งทั้งหมดนี้ คือ เสน่ห์เฉพาะตัวของไร่แสงอรุณ 

และหากใครอยากมีประสบการณ์ในท้องไร่ท้องนา ที่นี่ก็มีกิจกรรมทำนาแนวเกษตรอินทรีย์ให้ได้ทดลองทำกัน แต่ที่ทำให้หลายคนเพลิดเพลิน คือการได้เดินชมแปลงสวนผักปลอดสารพิษนานาชนิด อาทิ ผักคะน้า ผักบุ้ง กะหล่ำปลี ซึ่งผลผลิตจากแปลงเกษตรนี้ทางรีสอร์ทก็จะนำไปปรุงอาหารมาเสิร์ฟให้กับผู้เข้าพัก เรียกได้ว่าเป็นมื้อสุดพิเศษแบบ Farm-to-table ที่ทั้งสดใหม่ ปลอดภัย ไร้สารเคมี และอร่อยหอมหวานแบบสุดๆ จะนำผักไปจิ้มกับน้ำพริกอ่องหรือทำผัดผักก็แสนจะอร่อย 

file
file

ไม่เพียงเท่านั้น ไร่แสงอรุณยังงดงามในทุกฤดูกาล หากใครมาเยือนในช่วงฤดูหนาวก็จะได้สัมผัสทะเลหมอกลอยอ้อยอิ่งคลอเคลียแม่น้ำโขงโดยมีขุนเขาเป็นฉากหลัง แต่ถ้ามาในช่วงฤดูฝนก็จะได้ชื่นชมฉากท้องทุ่งสีเขียวสะพรั่งที่งดงามไม่แพ้กัน ลองมาใช้ชีวิตที่นี่สัก 2-3 วัน จะรู้เลยว่า ไร่แสงอรุณนั้นได้พาทุกคนไปอยู่กับธรรมชาติอย่างแท้จริง เพราะตั้งแต่ตื่นเช้าขึ้นมาก็จะได้เห็นแสงเช้าที่นุ่มนวลทาบลงบนทุ่งข้าว ยามค่ำคืนเดือนเพ็ญก็ได้เห็นลำน้ำโขงที่แปรเปลี่ยนเป็นสีทองอร่ามตาและหมู่ดาวให้นอนเอนหลังชมกันได้ทุกวัน แถมยังมีบทเพลงแห่งธรรมชาติของเสียงกบหรีดหริ่งเรไรคอยขับกล่อมส่งเข้านอนทุกคืน และนี่คือความสุนทรีย์ตลอดเช้าจรดเย็นจากไร่แสงอรุณ

เมื่อมาพักผ่อนที่นี่แล้ว ก็ยังสามารถเดินทางไปท่องเที่ยวในละแวกนี้ได้ ไม่ว่าจะเป็นวัดพระธาตุผาเงา วัดที่ตั้งอยู่บนหินก้อนใหญ่ คำว่า ผาเงา หมายถึง เงาของก้อนผาด้วยก้อนหินที่มีขนาดใหญ่และมีลักษณะของทรงคล้ายเจดีย์ เวลาพระอาทิตย์ส่องผ่านก้อนหิน ทำให้เกิดเงาขนาดใหญ่ ชาวบ้านจึงเรียกว่า พระธาตุผาเงา เดิมทีตัววัดตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำโขง แต่พอฝั่งน้ำพังทลายตัววัดพัดพังลงใต้น้ำโขงจนเกือบหมด จึงได้ย้ายวัดไปอยู่ที่ใหม่บนเนินเขา ซึ่งเดิมเป็นป่ารกและเต็มไปด้วยซากโบราณวัตถุกระจัดกระจาย รวมถึงได้มีการค้นพบพระพุทธรูปหลวงพ่อผาเงาที่คาดกันว่าอายุน่าจะเกินพันปี 

จากวัดพระธาตุผาเงายังเดินทางไปท่องเที่ยวต่อได้ที่สามเหลี่ยมทองคำซึ่งอยู่ไม่ไกลกันมากนัก จุดนี้เป็นพื้นที่รอยต่อระหว่างไทย ลาว พม่า ในอดีตเคยเป็นย่านของการปลูกฝิ่น ทุกวันนี้เป็นพื้นที่ที่ได้รับการพัฒนาให้เป็นย่านการค้า แต่ก็ยังมีทิวทัศน์สวยงามโอบล้อมไว้ด้วยแม่น้ำและขุนเขา โดยเฉพาะตอนเช้าที่จะสามารถเห็นวิวพระอาทิตย์ขึ้นท่ามกลางหมอกจางๆ ได้เลย และถ้าหากยังพอมีเวลา ลองมุ่งหน้าไปที่บ้านดำของอาจารย์ถวัลย์ ดัชนี ศิลปินแห่งชาติสาขาทัศนศิลป์ ซึ่งมีความน่าสนใจอย่างยิ่ง เพราะสถาปัตยกรรมทุกอย่างภายในบ้านนั้นสุดอลังการ อีกทั้งงานทุกชิ้นของอาจารย์ถวัลย์ยังมีความล้ำลึกและมีความหมายซ่อนอยู่ พูดเลยว่าเลอค่าน่าชมมาก ไม่ว่าจะเป็น ภาพจิตรกรรม งานแกะสลัก หรือของสะสมอย่างเขาสัตว์ หนังสัตว์ชนิดต่างๆ

file
file

บ้านสวนจันทิตา อุทัยธานี เสน่ห์ที่พักกลางป่าต้นไม้

อุทัยธานีอาจไม่ใช่จังหวัดที่ผู้คนนึกถึงเมื่อคิดจะเดินทางท่องเที่ยว แต่จริงๆ แล้วนี่คือเมืองรองเล็กๆ ที่แสนสงบ อาหารอร่อย และมีสถานที่ที่น่าไปเที่ยวชมมากมาย ทั้งยังมีเสน่ห์จากวิถีชีวิตชาวเมือง และที่พักสไตล์ฟาร์มสเตย์สุดอบอุ่นอย่างบ้านสวนจันทิตา ซึ่งมีเจ้าของเป็นครูเกษียณ คือ ลุงศาล-ไพศาล กุศลวัฒนะและป้าจัน-จันทิตา กุศลวัฒนะ ที่ร่วมกันสร้างบ้านพักขึ้นมาท่ามกลางป่าและแมกไม้นานาชนิด อาทิ ประดู่ป่า ยางนา มะยูง เสลา และหมากแดง ฯลฯ โดยบรรดาต้นไม้เหล่านี้ต่างล้วนถูกปลูกขึ้นโดยลุงศาลและป้าจัน ที่ใช้เวลากว่า 30 ปี จนวันนี้เติบโตกลายเป็นสวนหลังบ้านให้ผู้คนได้มาพักผ่อนและรื่นรมย์ไปกับธรรมชาติอันร่มรื่น

บ้านพักของที่นี่ มีเพียง 4 หลังเท่านั้น ซึ่งทุกหลังเป็นบ้านไม้ที่ถูกสร้างขึ้นภายใต้คอนเซ็ปต์การรักษาต้นไม้ทุกต้นที่ลุงศาลและป้าจันปลูกขึ้นมา โดยให้ต้นไม้ทุกต้นได้เจริญเติบโตอย่างอิสระและสวยงามตามธรรมชาติ จึงทำให้บ้านทุกหลังถูกออกแบบให้อยู่กับธรรมชาติได้อย่างกลมกลืนและมีใต้ถุนบ้านเพื่อยกระดับบ้านให้ดูมีมิติในการมองเห็นเหมือนอยู่บนภูเขาสูงที่รายล้อมด้วยบรรยากาศป่าเขา อีกทั้งยังมีหน้าต่างกระจกโดยรอบที่อยู่ในระดับเดียวกับสายตาเพื่อให้มองเห็นสีเขียวของต้นไม้ได้ตลอดเวลา ส่วนภายในห้องนอนก็ตกแต่งเรียบง่ายสไตล์ญี่ปุ่น เอาเป็นว่า เมื่อไหร่ที่ต้องการพักผ่อนหลีกหนีจากความวุ่นวายในเมือง หรือต้องการเอนกายฟังเสียงธรรมชาติ ลองมาพักผ่อนที่บ้านสวนจันทิตา อุทัยธานี ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากกรุงเทพฯ แค่เพียง 200 กว่ากิโลเมตร และใช้เวลาเดินทางราว 2 ชั่วโมง กว่าๆ เท่านั้น แล้วคุณจะรู้ว่าความสุขอยู่ใกล้ๆ 

file
file

ส่วนสถานที่ท่องเที่ยวที่อยู่ไม่ไกลจากบ้านพัก แนะนำให้ไปวัดท่าซุง วัดที่มีชื่อเสียงและงดงามของอุทัยธานี ด้านในมีพระวิหารแก้วที่ประดิษฐานพระพุทธชินราชจำลอง และร่างของหลวงพ่อฤาษีลิงดำที่ไม่เน่าเปื่อย ทั้งยังมีปราสาททองคำที่งดงามตระการตา หลังจากไหว้พระขอพรกันเสร็จแล้วไปชมบรรยากาศและวิถีชีวิตริมน้ำสะแกกรังที่อยู่ในตัวเมืองกัน ซึ่งชาวบ้านยังคงใช้ชีวิตแบบชาวแพดั้งเดิม ริมแม่น้ำมีบ้านเรือนแพทอดยาวไปตามแนวโค้งของแม่น้ำสะแกกรัง ถ้าอยากจะล่องเรือก็มีให้บริการตรงท่าเรือตลาดสดเทศบาล หรือจะเดินชมวิถีชีวิตชาวแพด้วยตัวเองก็ได้

เสร็จแล้วไปเดินเล่นกันต่อที่ถนนคนเดินตรอกโรงยา เพื่อชมบรรยากาศตึกรามบ้านช่องเก่าแก่ในตัวเมือง ที่บอกเล่าเรื่องราวความเป็นเมืองอุทัยในอดีตได้เป็นอย่างดี เพราะอาคารบ้านเรือนยังคงทิ้งร่องรอยของความเจริญรุ่งเรืองในอดีตเอาไว้ผ่านบ้านไม้เก่าแก่สุดคลาสสิก ที่ทุกวันนี้ได้กลายเป็นร้านค้า ร้านอาหาร และคาเฟ่ โดยถนนคนเดินตรอกโรงยาเปิดทุกวันเสาร์ ตั้งแต่เวลา 4 โมงเย็นจนถึงสองทุ่ม และนี่คืออุทัยธานีจังหวัดเล็กๆ ที่น่ารัก

บ้านไร่ไออรุณ ระนอง พื้นที่แห่งความรักอันสงบงาม 

ระนอง จังหวัดเล็กๆ ในภาคใต้ที่มีเสน่ห์อยู่ในตัวไม่ใช่น้อย ระนองเหมือนคนเงียบๆ เก็บเนื้อเก็บตัว แต่ซ่อนความน่ารักจนนักเดินทางอยากจะเข้าไปสัมผัส ซึ่งทุกวันนี้ระนองอาจจะมีแหล่งท่องเที่ยวเปิดตัวมากขึ้นและมีที่พักให้เลือกพอสมควร แต่ที่นักเดินทางสาย Eco-friendly หลงรัก คือ บ้านไร่ไออรุณ ที่นี่เป็นฟาร์มสเตย์ ที่ตั้งอยู่ในอำเภอกะเปอร์ ซึ่งถูกสร้างขึ้นโดยอดีตสถาปนิกหนุ่มในเมืองกรุงที่ต้องการกลับไปใช้ชีวิตและพัฒนาบ้านเกิดของตัวเอง ภายใต้คอนเซ็ปต์ที่อยากให้พื้นที่แห่งนี้เป็นพื้นที่แห่งความรักที่เป็นมากกว่าบ้าน

file

หากใครมาพักผ่อนจะรู้สึกได้ถึงความอบอุ่น เป็นกันเอง ที่เหมือนได้กลับบ้านมาอยู่กับครอบครัว ที่นี่ไม่มีรีเซฟชัน มีแต่ผู้คนที่พร้อมจะสร้างรอยยิ้มคอยต้อนรับขับสู้ ไม่มีสไตล์การตกเเต่งที่หรูหรา แต่อะไรที่พอจะหาได้จากรอบๆ บ้านก็นำมาปรับใช้ตกแต่งให้สวยงาม ไม่มีทีวี มีแต่เสียงธรรมชาติจากหรีดหริ่งเรไรและสายน้ำลำธารให้ได้ฟังอย่างเพลิดเพลิน ไม่มีอาหารหรูหรามีแต่เมนูบ้านๆ อาหารใต้ ผักสดปลอดสาร กุ้ง หอย ปู ปลาสดๆ จากทะเลระนองให้ได้ทานอย่างเต็มอิ่ม และที่นี่ไม่มีสระว่ายน้ำ แต่มีธารน้ำใสสะอาดเล็กๆ ที่เกิดขึ้นจากฝายไหลผ่านให้ได้สัมผัสความเย็นสดชื่น

ภายในฟาร์มสเตย์แห่งนี้ ถูกออกแบบเป็น 2 โซนหลักๆ คือ พื้นที่ส่วนกลาง ที่ได้จัดเตรียมไว้รอให้นักท่องเที่ยวได้มาสัมผัสกับวิถีธรรมชาติ เรียนรู้ความเรียบง่ายของชีวิต ซึ่งมีทั้งสวนผลไม้ เเปลงผัก และธารน้ำ รวมถึงยังมีบ้านไม้ 3 ชั้นสำหรับเป็นจุดต้อนรับ นั่งชิล และรับประทานอาหารพื้นเมืองจากฝีมือชาวบ้านในชุมชน โดยใช้วัตถุดิบในสวนผัก สวนผลไม้ที่ทางบ้านไร่ไออรุณได้ปลูกไว้ ส่วนอีกโซนมีร้านขายสินค้าเกษตรอย่างน้ำผึ้งออร์แกนิก และสินค้าทำมือที่รวบรวมไว้เป็นของที่ระลึกให้ได้ซื้อกลับไปฝากเพื่อนฝูงญาติพี่น้องกัน ส่วนใครที่รักในการทำกิจกรรม ที่นี่ก็มีกิจกรรมเก็บผักในแปลง เรียกได้ว่าเป็นอีกหนึ่งสถานที่คุณภาพในการพักผ่อนที่เพียบพร้อมไปด้วยอาหารการกินและการใช้ชีวิตท่ามกลางสภาพแวดล้อมสีเขียวเลยทีเดียว 

และถ้าใครอยากไปเที่ยวใกล้ๆ ก็มีสถานที่น่าเที่ยวหลายแห่ง ไม่ว่าจะเป็น บ้านอ่าวเคย หมู่บ้านชาวประมงที่ยังคงวิถีชีวิตเรียบง่าย ซึ่งมีหาดทรายที่เป็นธรรมชาติอันเงียบสงบและสวยงาม หรือจะแวะไปเที่ยวคลองลัดโนดที่ตั้งอยู่ในป่าชายเลน เพื่อเรียนรู้ระบบนิเวศป่าชายเลนและสัมผัสวิถีชีวิตชุมชน และไม่ใกล้ไม่ไกลยังมีน้ำตกสายรุ้งละอองดาว ที่มีสายน้ำตกไหลลงมากระทบกับก้อนหินเป็นฝอยๆ เมื่อโดนแสงแดดจะเกิดเป็นรุ้งกินน้ำสวยงาม โดยเฉพาะในช่วงเดือน ก.ค.-ต.ค. ซึ่งเป็นช่วงที่น้ำตกมีความสวยงามมาก

และนี่คือ 3 ฟาร์มสเตย์น่าพักในเมืองรอง ที่น่าลองไปสัมผัสประสบการณ์การท่องเที่ยวรูปแบบใหม่กับการใช้ชีวิตที่เรียบง่าย ท่ามกลางธรรมชาติที่โอบกอดในช่วงปลายฝนต้นหนาวนี้ซึ่งรับรองได้เลยว่าความเขียวและความชุ่มฉ่ำของธรรมชาติจะทำให้วันพักผ่อนของคุณมีความสุขและมีคุณภาพอย่างแท้จริง 

file
file
file