The 3 Most Exotic Countries in Europe

นิตยสาร Trust ฉบับที่ 59 | คอลัมน์ Horizon

file

ยุโรป คือทวีปที่เต็มไปด้วยประเทศสวยๆ น่าเที่ยวมากมาย ซึ่งเชื่อว่านาทีนี้หลายคนคงคิดถึงยุโรปและถ้ามีโอกาสก็คงอยากที่จะกลับไปเที่ยวอีกครั้ง TRUST ฉบับนี้จึงจะพาไปสำรวจยุโรปในมุมเอ็กซ์ซอติกที่หลายคนอาจไม่เคยเดินทางไปเยือนและน่าจะมีอีกหลายคนที่อาจไม่เคยแม้แต่ได้ยินชื่อประเทศเหล่านี้เลยด้วยซ้ำ แต่จุดหมายปลายทางอันแปลกใหม่ ไม่ซ้ำเดิมนี่แหละ คือเสน่ห์ที่อยากชวนทุกคนไปค้นหาด้วยกัน

Moldova, The Charm of Eastern Europe

มอลโดวา เป็นประเทศที่ตั้งอยู่ทางตะวันออกของยุโรป ระหว่างประเทศโรมาเนียและยูเครน โดยเป็นประเทศที่มากมายไปด้วยเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ เพราะนอกจากจะเคยเป็นส่วนหนึ่งของประเทศโรมาเนียแล้ว ก็ยังเคยเป็นส่วนหนึ่งของสหภาพโซเวียตด้วย จึงทำให้วัฒนธรรมของที่นี่มีความละม้ายคล้ายคลึงกับทั้งโรมาเนียและรัสเซีย ซึ่งแต่เดิมมอลโดวาจะมีภาษาและประเพณีวัฒนธรรมเป็นของตัวเอง แต่พอ โจเซฟ สตาลิน ได้ขึ้นมาเป็นผู้นำของสหภาพโซเวียต ก็ได้มีการเปลี่ยนทั้งภาษาพูดและภาษาเขียนให้เหมือนกับรัสเซีย พร้อมเปิดให้คนรัสเซียสามารถเข้ามาตั้งถิ่นฐานในมอลโดวาได้

สำหรับเมืองหลวงของมอลโดวา คือ คิชิเนา (Chisinau) ซึ่งถือเป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดในประเทศ โดยมีพื้นที่สีเขียวอยู่ใจกลางเมืองและมีหมู่อาคารเก่าแก่มากมาย โดยย่านใจกลางเมืองจะมีตลาดนัดศิลปะที่แทรกตัวอยู่ในสวนสาธารณะ ที่ไม่ว่าคุณอยากจะมองหางานศิลปะ ของที่ระลึก หรือพวกงานฝีมือ หากมาที่นี่รับรองว่าได้ของดีๆ หิ้วกลับบ้านแน่นอน

file
file

นอกจากนี้ ยังมีพิพิธภัณฑ์หลายแห่ง แต่แนะนำให้ไปที่พิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์มอลโดวา (National Museum of History of Moldova) นี่คือพิพิธภัณฑ์ที่จะบอกเล่าเรื่องราวในอดีตของมอลโดวา ซึ่งเรียกว่าเป็นหนึ่งในพิพิธภัณฑ์ที่สำคัญที่สุดของประเทศ เพราะภายในพิพิธภัณฑ์แห่งนี้ได้เก็บรักษาสิ่งของทางประวัติศาสตร์และงานศิลปะไว้มากกว่า 3 ล้านชิ้น จากนั้นควรแวะไปชม มหาวิหารแห่งมอลโดวา (Moldovan Orthodox Church) ที่ตั้งอยู่ใจกลางกรุงคิชิเนา ซึ่งเป็นสถาปัตยกรรมในสไตล์นีโอคลาสสิก ที่มีแท่นบูชาสามแท่นที่งดงามวิจิตรและมีหอระฆังอันโดดเด่น ส่วนอีกหนึ่งมหาวิหารที่งดงามไม่แพ้กัน คือ มหาวิหารธีโอดอร์ (Theodor Tiron Monastery) ที่มีสีฟ้าสดใสและมียอดสีทองเปล่งประกายงดงาม โดยตกแต่งด้วยสถาปัตยกรรมสไตล์มอลโดวา ออร์โธดอกซ์ ด้านหน้าจะมีรูปปั้นพลเรือเอกฟีโอดอร์ อูชาคอฟ ซึ่งได้รับเลือกให้เป็นนักบุญอุปถัมภ์ของมหาวิหารแห่งนี้ 

จากน้้นลองแวะไปที่ประตูชัย (Triumphal Arch) แห่งมอลโดวา ที่สร้างขึ้นกลางศตวรรษที่ 19 เพื่อเป็นอนุสรณ์ถึงชัยชนะของรัสเซียเหนือจักรวรรดิออตโตมัน ซึ่งถ้าอยู่มุมนี้ก็จะเห็นหอระฆังของมหาวิหารแห่งมอลโดวา ที่อยู่ถัดเข้าไปบริเวณด้านใน โดยถือเป็นหนึ่งในสัญลักษณ์ของเมืองหลวง และไม่ไกลกันนักก็มีสวนสาธารณะสเตฟาน เซล แมร์ (Stefan Cel Mare Park) ที่ก่อนหน้านี้มีชื่อว่าสวนสาธารณะพุชคิน (Pushkin Park) ซึ่งนับว่าเป็นสวนสาธารณะที่ใหญ่และเก่าแก่ที่สุดในประเทศโดยด้านในมีน้ำพุอันสวยงาม และรูปปั้นกวีเพลงคลาสสิกชาวโรมาเนียและชาวมอลโดวาที่มีชื่อเสียงวางเรียงราย

มอลโดวาไม่ได้มีแค่เมืองหลวงอย่างคิชิเนาแต่ถ้าสแกนไปทั่วแผนที่ยังมีอีกหลายมุมที่น่าค้นหาและน่าเที่ยว ไม่ว่าจะเป็น ภาดูเรียโดมเนสกา (Padurea Domneasca) เขตอนุรักษ์ธรรมชาติที่ใหญ่ที่สุดของประเทศ ซึ่งเต็มไปด้วยป่าไม้อันงดงาม ตั้งอยู่ระหว่างหมู่บ้านโคบานี (Cobani) และพรูเทนี (Pruteni) ใครมาที่นี่จะได้มีโอกาสสัมผัสกับสัตว์ป่าและพืชป่าที่ใกล้สูญพันธุ์ต่างๆ นอกจากนี้ ยังมีเขตประวัติศาสตร์ออร์เฮ (Old Orhei) แหล่งโบราณคดีที่ผสมผสานทิวทัศน์ธรรมชาติของอารยธรรมยุคก่อนประวัติศาสตร์ ซึ่งมีทั้งถ้ำ อาราม และป้อมปราการ ทุกวันนี้กลายเป็นพิพิธภัณฑ์กลางแจ้งขนาดใหญ่ที่เปิดให้เข้าไปสัมผัสอารยธรรมโบราณที่ยังคงหลงเหลืออยู่

file

Belarus, Jewel of Europe

ถ้าจะคัดประเทศในยุโรปที่มีความเอ็กซ์ซอติก และยังดูแปลกใหม่น่าค้นหา ต้องมีชื่อของประเทศเบลารุสติดอยู่ด้วยแน่ๆ นี่คือประเทศซึ่งเคยเป็นสมรภูมิรบระหว่างเยอรมนีกับสหภาพโซเวียตในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 จนทำให้เบลารุสเสียหายอย่างรุนแรง โดยสูญเสียประชากรราว 1 ใน 3 และทรัพยากรทางเศรษฐกิจ ซึ่งมากกว่าครึ่งหนึ่งของประเทศ

file

เบลารุสเพิ่งประกาศเอกราชเมื่อปี 1991 ในระหว่างการล่มสลายของสหภาพโซเวียต ทุกวันนี้ที่ตั้งของประเทศเบลารุสโอบล้อมไปด้วยประเทศรัสเซีย ยูเครน โปแลนด์ ลิทัวเนียและลัตเวีย โดยมีกรุงมินสก์ (Minsk) เป็นเมืองหลวง ตั้งอยู่ริมแม่น้ำสวิสลาช (Svislach)และแม่น้ำเนียมีฮา (Niamiha) ที่ความสูงจากระดับน้ำทะเล 280.4 เมตร โดยเมืองหลวงแห่งนี้มีพิพิธภัณฑ์เกือบ 20 แห่ง มีโรงละครกว่า 10 แห่ง และมีห้องสมุดกว่า 100 แห่ง เอาเป็นว่าถ้ายังไม่รู้จะเริ่มต้นท่องเที่ยวตรงไหนขอให้ไปที่ อินดิเพนเดนซ์ สแควร์ (Independence Square) ซึ่งเป็นหนึ่งในจัตุรัสที่ใหญ่ที่สุดในยุโรป มีอนุสาวรีย์แห่งความรักชาติ ที่ถูกสร้างขึ้นในรูปแบบของเสาหินที่มีรูปทรงปริซึม เพื่อให้ระลึกถึงเกียรติของชัยชนะแห่งสงครามในช่วงปี 1941-1945 ที่นี่ถือได้ว่าเป็นจุดศูนย์กลางของเมือง ที่เป็นทั้งจุดนัดหมายของผู้คน มุมชอปปิง มุมกินดื่ม และมุมที่ไว้จัดงานเทศกาลและประเพณีสำคัญต่างๆ

นอกจากนี้ ยังมีมหาวิหารแห่งมินสก์ (Holy Spirit Svabody) ที่อยู่ในย่านเมืองเก่า ทั้งยังมีโบสถ์และวิหารอีกหลายแห่งที่เหมาะจะไปเยี่ยมชม รวมถึงคริสตจักรสีแดง (Red Church) หรือคริสตจักรแห่งเซนต์ไซม่อนและเฮเลนา (Church of Saints Simon and Helena) ซึ่งเป็นคริสตจักรนิกายโรมันคาทอลิกที่ถูกสร้างขึ้นในช่วงปี 1905-1910 ปัจจุบันเป็นศูนย์กลางที่สำคัญทางศาสนา วัฒนธรรม และสังคมแห่งหนึ่งของเบลารุส ส่วนอีกมุมหนึ่งที่มีอนุสรณ์สถานอันงดงาม นั่นก็คือ เกาะแห่งน้ำตา (Island of Tears) ที่สร้างขึ้นเพื่อระลึกถึงเหล่าทหารที่เสียชีวิตในสงครามอัฟกานิสถาน ช่วงปลายศตวรรษที่ 20 ภายในอนุสาวรีย์มีชื่อของทหาร 771 คนที่เสียชีวิต และรูปปั้นผู้หญิงไว้ทุกข์ในอิริยาบถต่างๆ

หากเดินสำรวจไปรอบๆ เมือง ก็จะพบว่า ที่นี่เป็นศูนย์กลางทางธุรกิจและการปกครอง ที่แม้ว่าจะมีอาคารเก่าแก่ที่รอดพ้นจากการทิ้งระเบิดในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 เหลือเพียงไม่กี่หลัง แต่กรุงมินสก์ก็ยังคงเสน่ห์น่าค้นหาเอาไว้ไม่แปรเปลี่ยน โดยปัจจุบันย่านเมืองเก่าของกรุงมินสก์ (Troitskoe Predmestie) เต็มไปด้วยอาคารบ้านเรือนที่สร้างขึ้นในสไตล์ Soviet Bloc ซึ่งมีสีสันสวยงาม ทั้งยังมีคาเฟ่และร้านอาหารมากมายที่เปิดให้บริการอยู่ในย่านนี้ และอีกหนึ่งจุดท่องเที่ยวที่ได้รับความนิยม ก็คือ ซิตี้ ฮอลล์ (Minsk City Hall) ที่ถูกสร้างขึ้นใหม่แทนอาคารหลังเก่าในปี 2003 จนกลายเป็นอีกหนึ่งสัญลักษณ์ที่สำคัญของกรุงมินสก์ที่เต็มไปด้วยมนต์เสน่ห์ของสถาปัตยกรรมที่มีกลิ่นอายเเบบรัสเซีย และหากเดินทางลัดเลาะไปทางตอนเหนือของกรุงมินสก์ก็จะได้ชมความงามของ ทะเลมินสก์ (Minsk Sea) ซึ่งจริงๆ เป็นอ่างเก็บน้ำที่ถูกสร้างขึ้น แต่ด้วยบรรยากาศความสวยงามที่สงบเงียบและมีกิจกรรมทางน้ำให้นักท่องเที่ยวได้ผ่อนคลาย จึงทำให้ทะเลมินสก์เป็นอีกหนึ่งสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยม

file

นอกจากเบลารุสจะเต็มไปด้วยเรื่องราวทางประวัติศาสตร์แล้ว ยังอุดมไปด้วยธรรมชาติอันสมบูรณ์ เพราะพื้นที่มากกว่า 40% ของเบลารุสเป็นป่าไม้ที่มีสัตว์ป่าหายากอาศัยอยู่ จึงมีแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติ ตลอดจนพื้นที่ชนบทที่สวยงามน่าไปเยือนมากมาย เริ่มต้นกันที่ เขตทะเลสาบเบรสลัว (Braslav Lake Area) ที่เป็นที่ตั้งทะเลสาบประมาณ 300 แห่ง และว่ากันว่าเป็นบ้านของปลากว่า 30 สายพันธุ์ โดยล้อมรอบด้วยอ่าวและหน้าผาต่างๆ ซึ่งมาที่นี่จะได้เพลิดเพลินไปกับการดูนก ไฮกิ้ง และปีนหน้าผา ไปต่อกันที่อุทยานแห่งชาติเบโลเวจสกายาปูชา (Belovezhskaya Pushcha National Park) ที่ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นแหล่งมรดกโลกจากยูเนสโก โดยอุทยานแห่งนี้ครอบคลุมพื้นที่ทั้งเบลารุสและโปแลนด์ เมื่อมาถึงที่นี่จะได้สัมผัสกับป่าอันเขียวชอุ่มและสัตว์ใหญ่หลากหลายสายพันธุ์ที่อาศัยอยู่ ไม่ว่าจะเป็น ควายไบซันสายพันธุ์ยุโรป ม้าโคนิก เอลก์ยูเรเชีย และสัตว์หายากอีกหลายชนิด

และอีกหนึ่งอุทยานที่ควรค่าแก่การไปเยือนก็คือ อุทยานแห่งชาติปริปยัต (Pripyatsky National Park) ซึ่งตั้งอยู่ในหุบเขาที่มีชื่อเรียกว่า“อเมซอนแห่งเบลารุส” (Belarus Amazon)เพราะที่นี่เต็มไปด้วยป่าไม้และที่ลุ่มน้ำขังอันน่าตื่นตาตื่นใจจำนวนมาก ทั้งยังมีสัตว์ป่ามากกว่า 50 สายพันธุ์ อาทิ กวาง แรคคูน บีเวอร์และสัตว์ป่าหายากอย่างลิงซ์และมิงก์ รวมถึงนกนานาชนิดกว่า 250 สายพันธุ์ ที่พากันอพยพมาอยู่ที่ผืนป่าแห่งนี้ โดยกิจกรรมยอดนิยม คือการเดินป่าเพื่อเข้าไปเก็บภาพสัตว์และดูนก แต่หากมีเวลาเหลือ ขอแนะนำให้ไปล่องเรือ เพื่อชมความงามของแม่น้ำปริปยัต พร้อมสัมผัสสัตว์น้ำอย่างใกล้ชิด ซึ่งเชื่อเลยว่านี่จะเป็นอีกหนึ่งประสบการณ์ที่น่าตื่นเต้นและประทับใจไม่รู้ลืม

file
file

Kosovo, The Land of Dream in Balkans

คอซอวอถูกบันทึกว่าเป็นประเทศน้องใหม่ของโลกใบนี้ หลังจากสงครามในคอซอวอสิ้นสุดลงประมาณปี 1999 ทุกวันนี้คอซอวอแทบจะไม่เหลือเค้าของสงครามเลย แม้เพิ่งจะผ่านเวลามาได้ 10 ปีเศษ ซึ่งคอซอวอเป็นภูมิภาคหนึ่งในคาบสมุทรบอลข่าน ที่ไม่มีทางออกสู่ทะเล โดยอยู่ติดกับประเทศเซอร์เบียทางทิศเหนือ และติดกับประเทศมอนเตเนโกรทางทิศตะวันตก ส่วนทางทิศใต้นั้นติดกับประเทศแอลเบเนียและนอร์ทมาซิโดเนีย ซึ่งมีเมืองหลวง คือ พริสตีนา (Pristina) แต่เมืองที่นักท่องเที่ยวนิยมไปเยือน คือ เมืองพริซริน (Prizren) ที่ว่ากันว่า ถ้ามาคอซอวอต้องห้ามพลาดที่จะมาที่นี่ 

เมืองพริซรินถูกก่อร่างสร้างขึ้นใหม่แทนของเดิมที่ถูกเพลิงทำลาย อาคารบ้านเรือนมัสยิดจึงถูกจับมาขัดสีฉวีวรรณจนงดงาม ซึ่งทั่วทั้งเมืองมีมัสยิดกว่า 30 แห่ง โดยมีมัสยิดที่ตั้งรับแขกอยู่ใจกลางเมืองเก่า คือ มัสยิดซีนาน ปัชชา (Sinan Pasha Mosque) ที่สร้างตั้งแต่ช่วงต้นศตวรรษที่ 17 เป็นมัสยิดเก่าแก่ที่ยังดูใหม่ เพราะเพิ่งบูรณะเสร็จเมื่อปี 2010 แม้ที่นี่จะไม่ใช่มัสยิดใหญ่โตโอฬาร แต่ด้านในก็มีการตกแต่งอันงดงามน่ามอง นอกจากจะมีมัสยิดกระจายตัวอยู่ทั่วเมืองแล้ว ยังมีฮัมมัมหรือเตอร์กิช บาธ ซึ่งเป็นมรดกตกทอดตั้งแต่สมัยออตโตมันที่เข้ามาปกครองในแถบนี้ ซึ่งตอกย้ำว่าคอซอวอคือยุโรปที่อบอวลไปด้วยกลิ่นอายของอิสลามขนานแท้ โดยฮัมมัม ที่มีชื่อเสียงที่สุดของพริซรินคือ ฮัมมัมกาซี เมห์เมต ปัชชา (Gazi Mehmet Pasha Hamam) ที่หาเจอได้ไม่ยาก เพราะโดดเด่นด้วยอิฐที่เรียงขึ้นต่อกัน และมีโดมเล็กๆ ซ้อนกัน 8 - 9 โดม ซึ่งดูสวยงามและแปลกตา

file

แม้ชาวเมืองเกือบทั้งหมดจะเป็นชาวมุสลิมแต่ที่นี่ก็มีโบสถ์แทรกตัวอยู่เป็นหย่อมๆ โดยมีทั้งโบสถ์ออร์โธดอกซ์และโบสถ์คาทอลิก อาทิ โบสถ์เซอร์เบียน ออร์โธด็อกซ์ (Church of the Holy Saviour) ที่อยู่บนเนินเขา ซึ่งถูกสร้างขึ้นตั้งแต่ปี ค.ศ. 1330 โดยในประวัติศาสตร์ดินแดนแห่งนี้เคยได้สัมผัสยุคสมัยของอาณาจักรอันยิ่งใหญ่ ไม่ว่าจะเป็น อาณาจักรโรมัน ไบแซนไทน์ และออตโตมัน จึงทำให้ดินแดนแห่งนี้เต็มไปด้วยสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ทั้งของฝั่งคริสเตียนและอิสลาม หลังจากชมร่องรอยประวัติศาสตร์กันแล้ว อยากให้ลองเดินไปที่ริมสะพานหินซึ่งพาดผ่านแม่น้ำลัมบาร์ดี (Lumbardhi) ตรงใจกลางเมือง ที่สร้างขึ้นตั้งแต่ศตวรรษที่ 16 ซึ่งที่นี่ถือได้ว่าเป็นแลนด์มาร์กของเมืองพริซรินที่ห้ามพลาด เพราะนอกจากจะได้ชมความงดงามของแม่น้ำที่มีฉากหลังเป็นมัสยิดหลักของเมืองแล้ว ยังได้เห็นภาพวิถีชีวิตของชาวพริซรินในวันนี้ที่ผู้คนดูเบิกบาน สดใส ราวกับว่าเรื่องสงครามกลางเมืองเป็นแค่เพียงฉากหนึ่งในหนังฮอลลีวูดก็เท่านั้น 

file
file

เนื่องจากพื้นที่ของคอซอวอนั้นตั้งอยู่บนคาบสมุทรบอลข่าน จึงมีสถานที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติหลายแห่ง ที่รอให้นักท่องโลกไปเยือน รวมถึงเทือกเขาต่างๆ ที่เหมาะแก่การเล่นสกีอย่างที่สุด จนนับได้ว่าเป็นหนึ่งในกิจกรรมไฮไลต์ที่ห้ามพลาดของที่นี่เลยก็ว่าได้ ซึ่งจุดเล่นสกีที่สวยงามและขึ้นชื่อ อาทิ โบเก (Boge) เบรโซวิกา (Brezovica) และ เพรวัลเล่ (Prevalle) ส่วนอีกหนึ่งกิจกรรมที่ฮิตไม่แพ้กันก็คือ การปีนเขา ซึ่งแหล่งปีนเขาที่มีชื่อเสียง อาทิ บิสตร้า พีค (Bistra Peak)ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของเทือกเขาชาร์ (Sar Mountain)และเป็นยอดเขาที่สูงเป็นอันดับสามในคอซอวอ และ เดอราวิกา (Gjeravica) ซึ่งเป็นยอดเขาที่สูงที่สุดในคอซอวอและมีความยากในการปีนเขาอยู่ในระดับปานกลาง นอกจากนี้ ด้วยภูมิประเทศที่เป็นหุบเขาซึ่งยังคงความอุดมสมบูรณ์อยู่มาก คอซอวอจึงมีการผลิตไวน์มานานกว่าสองพันปีแล้ว หากได้มาเยือนคอซอวอ ก็อย่าลืมแวะไปชมและดูการผลิตไวน์ใน ราโฮเวค (Rahovec) พร้อมดื่มด่ำไปกับไวน์ชั้นเลิศนานาชนิด รวมถึงบรั่นดีที่ผลิตจากผลไม้พื้นเมืองที่หากคุณได้ลิ้มลองแล้วต้องประทับใจแน่นอน 

file
file

และนี่คือ 3 ประเทศในยุโรปที่เต็มไปด้วยเรื่องราวทางประวัติศาสตร์และธรรมชาติอันอุดมสมบูรณ์ ซึ่งรอให้นักเดินทางสายเอ็กซ์ซอติกทุกคนได้ปักหมุดไปเยี่ยมเยือน

Travel’s Guide

  • การเดินทางไปมอลโดวา เบลารุสและคอซอวอ สามารถเดินทางได้ผ่านสายการบินเตอร์กิชแอร์ไลน์ ซึ่งมีเที่ยวบินทั้ง 3 ประเทศ โดยบินจากกรุงเทพฯ ไปเปลี่ยนเครื่องที่อิสตันบุลก่อน คลิกเข้าไปเช็กเที่ยวบินได้ที่ www.turkishairlines.com
  • สำหรับผู้ที่มีวีซ่าเชงเก้นที่ยังไม่หมดอายุ สามารถเดินทางเข้าคอซอวอและมอลโดวาได้ ส่วนเบลารุสต้องยื่นขอวีซ่าเป็นพิเศษ โดยยื่นได้ที่ www.mfa.gov.by
  • ในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาด COVID-19 ก่อนเดินทาง แนะนำให้อัปเดตเรื่องนโยบายการกักตัวและวัคซีนก่อน เพราะมีการปรับเปลี่ยนนโยบายเรื่อยๆ อาทิ เบลารุสมีนโยบายกักตัว 7 วัน แต่หลังจากนี้อาจจะมีการเปลี่ยนแปลง รวมถึงนโยบายเรื่องวัคซีน เช่น มอลโดวาตอนนี้ไม่รับนักท่องเที่ยวที่ฉีดวัคซีนซิโนแวค แต่ในอนาคตอาจจะ มีการเปิดรับ โดยสามารถเช็กได้ที่ www.europa.eu
  • ที่พักของทั้ง 3 ประเทศนั้น พอจะมีที่พักระดับ 3-4 ดาว ให้นักท่องเที่ยวได้เลือกบ้าง แต่ส่วนใหญ่จะเป็นที่พักประเภท Bed & Breakfast