THE MEMORABLE TRAIN RIDES OF A LIFETIME

นิตยสาร Trust ฉบับที่ 62 | คอลัมน์ Horizon

file

เพราะ “ประสบการณ์ระหว่างการเดินทาง” ก็เป็นความทรงจำอันน่าประทับใจไม่รู้ลืมไม่แพ้ “จุดหมายปลายทาง” และตราบใดที่เวลาไม่ใช่ปัญหาแล้ว การเดินทางด้วยรถไฟนับเป็นหนึ่งวิธีท่องโลกกว้างชั้นเยี่ยม TRUST ฉบับนี้ ขออาสาพาทุกท่านมาเปลี่ยนบรรยากาศการเดินทางด้วย “รถไฟขบวนพิเศษ” ที่จะพาไปดื่มด่ำทิวทัศน์ระดับห้าดาวตลอดเส้นทางที่รถไฟวิ่งผ่านอย่างใกล้ชิด และสัมผัสวิถีชีวิตของคนท้องถิ่นให้มากขึ้น พร้อมพบปะหรือสร้างมิตรภาพใหม่ ๆ กับผู้คนหลากหลาย ที่ไม่อาจสัมผัสได้จากการเดินทางด้วยยานพาหนะอื่น ๆ นี่คือ 3 เส้นทางท่องเที่ยวด้วยรถไฟหรูที่ต้องไปสัมผัสสักครั้งในชีวิต

Belmond Andean Explorer, Peru : The Magical 2-Night Journey

ประเดิมทริปแรกด้วยความหรูหราสุดคลาสสิกที่สมบูรณ์แบบและทิวทัศน์ภูเขาในชนบทอันน่าทึ่ง บนเส้นทางรถไฟที่สูงที่สุดในโลก Belmond Andean Explorer ซึ่งเป็นรถไฟนอนสุดหรูขบวนแรกในทวีปอเมริกาใต้ ที่จะพาไปสัมผัสกับประเทศเปรู (Peru) ดินแดนที่รุ่มรวยด้วยอารยธรรมโบราณ

ขบวนรถไฟสายนี้ได้รับแรงบันดาลใจในการออกแบบมาจากวัฒนธรรมทอผ้าและศิลปะของชาวเปรู ภายนอกตัวขบวนรถไฟ Belmond Andean Explorer ทั้ง 16 ตู้ โดดเด่นด้วยสีน้ำเงินยามเที่ยงคืนตัดกับสีขาวงาช้างบริเวณหลังคารถ ภายในโบกี้ใช้สีเอิร์ธโทนเป็นหลัก เพื่อให้บรรยากาศอบอุ่นและผ่อนคลายในทุกขณะของการเดินทาง พร้อมเพิ่มความมีชีวิตชีวาด้วยเฟอร์นิเจอร์สีสันสดใส และวัสดุที่ใช้ล้วนมาจากธรรมชาติที่มีสัดส่วนกลมกลืนกันอย่างลงตัว ไม่ว่าจะเป็น ไม้ หินที่มาจากท้องถิ่น ผ้าลินิน รวมทั้งผ้าวูลอัลปากาทอมือ ส่วนท้ายขบวนตู้โดยสารถูกออกแบบให้เปิดโล่ง เพื่อให้ผู้โดยสารสามารถชมทัศนียภาพอันสวยงามระหว่างการเดินทาง พร้อมสัมผัสอากาศบริสุทธิ์รอบตัวได้ 360 องศา

file

แต่ละเที่ยวของการเดินทางเต็มไปด้วยบริการและสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน ตั้งแต่ห้องอาหาร Muna ที่ตั้งชื่อตามสมุนไพรที่พบได้ในท้องถิ่น เสิร์ฟอาหารจานเด่นที่ปรุงอย่างพิถีพิถันจากวัตถุดิบชั้นเยี่ยมในท้องถิ่น ด้วยฝีมือเชฟของโรงแรม Belmond Hotel Monasterio โรงแรมระดับ 5 ดาวที่มีชื่อเสียงมาอย่างยาวนานของเมืองกุสโก (Cusco) ในส่วนของห้องพักมีให้เลือกหลากหลายแบบ ซึ่งทุกห้องจะมีห้องน้ำส่วนตัว นอกเหนือจากนั้นยังมีเลานจ์ให้ดื่มด่ำกับธรรมชาติไปพร้อมกับแชมเปญชั้นเลิศและท่วงทำนองของเปียโนอันแสนหวาน อีกทั้งยังมีบริการห้องสปาที่ชื่อว่า Picaflor ซึ่งตั้งตามชื่อนกฮัมมิงเบิร์ดท้องถิ่นของที่นี่

ปัจจุบัน Belmond Andean Explorer เปิดให้บริการ 5 เส้นทาง ซึ่งมีทั้งแบบ 1 คืน 2 วัน และ 2 คืน 3 วัน โดยเส้นทางยอดนิยมคือ เส้นทาง Peruvian Highlands แบบ 2 คืน 3 วัน ที่จะพาคุณทะยานขึ้นไปชมวิวตามแนวเทือกเขาแอนดีส (Andes) เทือกเขาหลักของทวีปอเมริกาใต้ที่ทอดตัวเป็นแนวยาว ซึ่งนับเป็นเส้นทางสายรถไฟที่วิ่งอยู่บนพื้นที่ที่สูงที่สุดในโลก บนความสูงประมาณ 4,800 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล 

โดยเริ่มออกเดินทางจากทางตะวันออกเฉียงใต้ของเปรูที่เมืองกุสโก (Cusco) ซึ่งเป็นเมืองหลวงโบราณของอาณาจักรอินคา ที่ได้ชื่อว่าเป็นเมืองที่มีอารยธรรมมาอย่างยาวนาน โดยหมุดหมายแรกคือการไปชมทัศนียภาพอันสวยงามของภูเขาลารายา (La Raya Mountain) ก่อนมุ่งสู่ที่ราบสูงบนเทือกเขาแอนดีส ที่ใหญ่และสูงเป็นอันดับสองรองจากเทือกเขาหิมาลัย ราวกับกำลังไปพิชิตเทือกเขาแอนดีส โดยระหว่างทางจะได้สัมผัสวิถีชีวิตของชาวเปรู และอาจมีโอกาสได้พบเจอสัตว์เลี้ยงหายากอย่างลามะ วิกุนยา กัวนาโค วิสกาชา เป็นต้น

ช่วงดินเนอร์มื้อพิเศษจะได้สังสรรค์ไปกับเพื่อนร่วมทาง ซึ่งเป็นเวลาเดียวกันกับที่ขบวนรถไฟกำลังเคลื่อนตัวสู่ทะเลสาบติติกากา (Titicaca) ที่มีขนาดกว้างใหญ่ที่สุดในทวีปอเมริกาใต้ อยู่ระหว่างพรมแดนของประเทศเปรูและประเทศโบลิเวีย โดยจะจอดพักคืนแรกที่นี่เพื่อพบแสงแรกของดวงอาทิตย์ ณ ทะเลสาบติติกากาแห่งเมืองปูโน (Puno) จากนั้นจึงเป็นการเที่ยวชมความงามโดยการล่องเรือ เพื่อสัมผัสวิถีชีวิตของชุมชนลอยน้ำที่มีชาวอูรอส (Uros) ชาติพันธุ์เก่าแก่อาศัยอยู่ พร้อมเยี่ยมชมเกาะน้อยใหญ่ต่าง ๆ หลังจากมื้อเที่ยงบนรถไฟเสร็จสิ้นก็จะเริ่มออกเดินทางสู่ทะเลสาบซาราโกซา เพื่อรับประทานอาหารและพักค้างคืนท่ามกลางความงามของธรรมชาติ

เช้าวันสุดท้ายมุ่งหน้าสู่ถ้ำซัมเบย์ โดยภายในถ้ำเต็มไปด้วยภาพจารึกโบราณที่มีอายุมากกว่า 8,000 ปี ก่อนจะจบทริปที่จุดหมายสุดท้าย คือเมืองอาเรกีปา (Arequipa) เมืองมรดกโลกที่ได้รับการขึ้นทะเบียนจากยูเนสโก ซึ่งเต็มไปด้วยตึกรามบ้านช่องสีสันสดใสและกลิ่นหอมเย้ายวนของเครื่องเทศ เรียกได้ว่า ตลอดระยะทาง 300 กว่ากิโลเมตร จะเป็นประสบการณ์แสนพิเศษอันน่าจดจำ เพราะเส้นทางที่รถไฟวิ่งผ่านนั้นจะได้พบเจอทั้งทิวทัศน์สุดอลังการของประเทศ ไม่ว่าจะเป็น เทือกเขา เมืองโบราณ รวมไปถึงทะเลสาบน้ำจืดขนาดใหญ่อย่างใกล้ชิด พร้อมอิ่มเอมไปกับวิถีชีวิตอันเรียบง่ายของชาวพื้นเมืองแบบดั้งเดิม

Travel’s Guide

- เส้นทาง Peruvian Highlands ออกเดินทางทุกวันอังคารตอนเช้า

- อัตราการให้บริการของ Belmond Andean Explorer จะเริ่มต้นที่ 4,025 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อคน รวมอาหารทุกมื้อ และค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ที่ระบุไว้ในตารางการเดินทาง

- นอกจากจะมีเส้นทางหลักให้บริการแล้ว Belmond Andean Explorer ยังมีบริการจัดทริปตามความต้องการของผู้โดยสารด้วย

- ดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ belmond.com

file
file

The Venice Simplon-Orient-Express, Eastern Europe : The Extraordinary Europe Route

ค้นพบประสบการณ์ใหม่บนขบวนรถไฟสุดหรูหรา The Venice Simplon-Orient-Express หรือ VSOE ที่ไม่ใช่แค่การนั่งรถไฟท่องเมืองในยุโรปทั่ว ๆ ไป แต่คือการสร้างประสบการณ์และความทรงจำพิเศษอันสุดแสนตราตรึง พร้อมกับการละเลียดมื้ออาหารรสเลิศจากเชฟผู้มากประสบการณ์ โดยเปิดให้บริการมาตั้งแต่ปี 1982 หลังจาก James Sherwood ผู้ก่อตั้งบริษัทนำเที่ยวสุดหรู Belmond (ปัจจุบันได้กลายเป็นบริษัทในเครือ LVMH) ได้ทำการประมูลตู้รถไฟเก่าแก่จากรถไฟขบวน Orient Express ในปี 1977 และนำมาปรับปรุงเพื่อเปิดให้บริการอีกครั้ง นั่นคือจุดเริ่มต้นการฟื้นคืนชีพของขบวนรถไฟสุดหรูหรานี้

file

VSOE มีให้บริการตั้งแต่ทริปสั้น 2 วัน 1 คืน ไปจนถึงทริปยาว 6 วัน 5 คืน โดยเส้นทางยอดนิยมที่จะพาไปเยี่ยมเยือน คือเส้นทางปารีส (Paris) - อิสตันบูล (Istanbul) ที่จะพาผู้โดยสารออกเดินทางจากสถานีการ์ เดอ เลต์ (Gare de l’Est) ในปารีส ศูนย์กลางแฟชั่นของยุโรปเพื่อมุ่งสู่ยุโรปตะวันออกแสนสวย ขณะที่รถไฟเดินทางจะได้เพลิดเพลินกับทิวทัศน์สองข้างทาง โดยรถไฟผ่านเมืองแรกคือบูดาเปสต์ (Budapest) เมืองหลวงสุดโรแมนติกของประเทศฮังการี (Hungary) ที่ได้รับการเรียกขานว่าเป็นราชินีแห่งแม่น้ำดานูบ (Danube River) แม่น้ำที่ยาวที่สุดในสหภาพยุโรป ซึ่งจะแวะเที่ยวและล่องเรือชมความงามของแม่น้ำดานูบที่จะเห็นวิว 2 ฝั่งแม่น้ำ คือ ฝั่งบูดา (Buda) ที่เป็นเมืองเก่า และฝั่งเปสต์ (Pest) ที่เป็นเมืองใหม่

จากนั้นจึงกลับไปขึ้นรถไฟเพื่อเดินทางต่อไปยังบูคาเรสต์ (Bucharest) เมืองหลวงของประเทศโรมาเนีย (Romania) ที่ได้รับการขนานนามว่าเป็น “Little Paris” เพื่อชมความสวยงามของปราสาทเพเลส (Peles Castle) จากนั้นเดินทางผ่านที่ราบธราเซียน (Thracian Plain) ที่ขึ้นชื่อเรื่องภูมิทัศน์งดงาม ก่อนจะจบทริปที่อิสตันบูล ประเทศตุรเคีย (Turkiye) สะพานเชื่อมต่อระหว่างสองวัฒนธรรมของทวีปยุโรปและเอเชีย ด้วยระยะเวลา 6 วัน 5 คืน ซึ่งทริปนี้จะเป็นการค้างคืนบนรถไฟ 3 คืน ส่วนอีก 2 คืน จะพักที่บูดาเปสต์และบูคาเรสต์ตามลำดับ ตลอดการเดินทาง ผู้โดยสารจะได้เพลิดเพลินกับการบริการระดับ 5 ดาวจากเหล่าพนักงาน พร้อมดื่มด่ำกับความอร่อยของอาหารรสเลิศ ตั้งแต่อาหารเช้าเรื่อยไปจนถึงมื้อดึก โดยเส้นทางรถไฟสายนี้จะเปิดให้บริการเพียงปีละหนึ่งครั้งในช่วงปลายฤดูร้อน ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดสำหรับการเดินทางด้วยรถไฟ

ขบวนรถไฟ VSOE ประกอบด้วย 17 โบกี้ แบ่งเป็นห้องพัก 11 โบกี้ ซึ่งมี 3 ประเภท ได้แก่ Grand ห้องพักพื้นที่กว้างขวาง ตกแต่งด้วยหินอ่อน ประกอบด้วยห้องนอน ห้องน้ำส่วนตัว และพื้นที่นั่งเล่นพร้อมผู้ดูแลส่วนตัวให้บริการตลอด 24 ชั่วโมง และเสิร์ฟแชมเปญแบบฟรีโฟลว์ Historic Cabins เคบินส่วนตัวที่จะพาไปเพลิดเพลินกับทิวทัศน์อันงดงามของยุโรปผ่านหน้าต่างบานใหญ่และเบาะนั่งที่นุ่มสบาย ซึ่งจะกลายเป็นเตียงนอนในยามค่ำคืน Suite Suites ห้องสวีทที่มีให้เลือกทั้งแบบเตียงคู่และเตียงเดี่ยว ตกแต่งในสไตล์อาร์ตเดโค โดยได้รับแรงบันดาลใจมาจากภูมิทัศน์ที่ขบวนรถไฟแล่นผ่าน เพื่อให้ผู้โดยสารได้ซึมซับบรรยากาศของยุโรปผ่านเฉดสี แพตเทิร์น และผิวสัมผัสที่หรูหรา รังสรรค์ความงดงามโดยช่างฝีมือชาวฝรั่งเศส ซึ่งเป็นประเภทห้องพักใหม่ล่าสุดที่ VSOE กำลังดำเนินการ และพร้อมเปิดให้บริการตั้งแต่วันที่ 15 มิถุนายน 2023 เป็นต้นไป

นอกจากห้องพักที่ได้รับการตกแต่งอย่างวิจิตรงดงาม ยังมีห้องอาหารถึง 3 โบกี้ และบาร์อีก 1 โบกี้ ซึ่งห้องอาหารและบาร์ของที่นี่ไม่มีวันหลับใหล ไม่ว่าจะเป็นช่วงเวลาใด ก็พร้อมให้บริการเสมอ โดยสามารถเลือกช่วงเวลาการเสิร์ฟมื้อเช้าได้ตามต้องการ ซึ่งพรั่งพร้อมไปด้วยสารพันอาหารเช้า ไม่ว่าจะเป็น กาแฟ แซลมอนรมควัน ไข่ ทรัฟเฟิล คาเวียร์ และอื่น ๆ หรือถ้าอยากจะจิบค็อกเทลเพิ่มความสดชื่นก็มีเช่นกัน อาหารเที่ยงจัดเต็มในบรรยากาศสบาย ๆ ยามบ่ายจิบชากาแฟกับขนมหลากชนิด พร้อมชมทัศนียภาพของยุโรประหว่างรถไฟแล่นไปแบบเพลิน ๆ ยามเย็นกับดินเนอร์สุดพิเศษ ท่ามกลางบรรยากาศอันคึกคักที่มีเสียงเปียโนขับกล่อมไปพร้อมกับเสียงเขย่าค็อกเทล

file

Travel’s Guide

•      อัตราการให้บริการของ VSOE จะเริ่มต้นที่ 2,920 ปอนด์ต่อคน รวมการให้บริการทุกอย่างและอาหารทุกมื้อ

•      VSOE เปิดให้บริการ 9 เดือนต่อปี ตั้งแต่เดือนมีนาคมถึงเดือนพฤศจิกายน

•      ทริปปารีส-อิสตันบูล มักจะขายตั๋วหมดล่วงหน้าก่อนเดินทาง 1 ปี และหากต้องการเดินทางจากอิสตันบูลไปสิ้นสุดที่ปารีสก็มีเช่นกัน

•      นอกจากเส้นทางยอดนิยมอย่างลอนดอน ปารีส และเวนิส ที่มีอยู่เดิมแล้ว ปัจจุบันยังมีเส้นทางเดินรถไฟใหม่ ๆ อาทิ อัมสเตอร์ดัม บรัสเซลส์ เจนีวา โรม ฟลอเรนซ์ และอื่น ๆ อีกหลากหลายเมือง

•      แต่ละเส้นทางเดินรถจะมีผู้โดยสารเพียง 120 คน ซึ่งความเป็นจริง รถไฟขบวนนี้มีพื้นที่เพียงพอสำหรับผู้โดยสารถึง 2,000 คน

•      สวย หล่อ ปัง อลังการ คือคำจำกัดความของการแต่งตัวของผู้โดยสาร VSOE ที่หนุ่ม ๆ ต้องสวมทักซิโด ส่วนคุณผู้หญิงสามารถสนุกกับการแต่งชุดสวยได้อย่างเต็มที่ ไม่มีคำว่าแต่งตัวเยอะไปในสารบบ

•      ดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ belmond.com  

file
file
file
file

Cruise Train Seven Stars, Japan : Exploring the Charm of Kyushu

มาถึงทริปสุดท้ายที่จะพาไปดื่มด่ำกับธรรมชาติและวัฒนธรรมในเกาะคิวชู (Kyushu) กับรถไฟ Cruise Train Seven Stars ขบวนรถไฟที่หรูหราที่สุดในประเทศญี่ปุ่น ซึ่งมีเฉพาะบนเกาะคิวชูเท่านั้น โดยเกาะแห่งนี้ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของประเทศญี่ปุ่น โดดเด่นด้วยความอุดมสมบูรณ์และเสน่ห์ที่หลากหลายของธรรมชาติ ตั้งแต่ภูเขาอันกว้างใหญ่ไปจนถึงน้ำทะเลส่องแสงระยิบระยับ จนอาจกล่าวได้ว่า เป็นอัญมณีสีมรกตของเกาะทางใต้

การเดินทางด้วยรถไฟ Cruise Train Seven Stars ถือเป็น “The Exclusive Trip” อย่างแท้จริง เพราะแต่ละขบวนสามารถรองรับผู้โดยสารได้เพียง 28 คนเท่านั้น จึงทำให้หลาย ๆ ครั้ง ผู้ที่ประสงค์จะเดินทางจะต้องกรอกข้อมูลเพื่อสมัครลอตเตอรี่ของรถไฟ หากเป็นผู้โชคดีที่หมายเลขลอตเตอรี่ได้รับเลือกจึงจะมีสิทธิ์ในการซื้อบัตรโดยสาร

รถไฟขบวนพิเศษนี้สร้างขึ้นในคอนเซปต์ “รถไฟที่สร้างประสบการณ์เสมือนนั่งเรือสำราญ” ซึ่งสะท้อนให้เห็นตั้งแต่การตกแต่งขบวนรถไฟ อาหารที่เสิร์ฟ การบริการ และพนักงานที่คอยอำนวยความสะดวกแก่ผู้โดยสารตลอดเส้นทาง รวมถึงเส้นทางการเดินรถสุดพิเศษ ที่บอกเล่าเรื่องราวความอุดมสมบูรณ์ของเกาะคิวชูได้เป็นอย่างดี ตั้งแต่แหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติและประวัติศาสตร์ ตลอดจนอาหารและวัฒนธรรมท้องถิ่นแบบจัดเต็ม

file

สำหรับที่มาของชื่อ “Seven Stars” ไม่ได้หมายถึงระดับความหรูแบบโรงแรม 5 ดาว 6 ดาว แต่เลข 7 หมายถึง จังหวัดทั้ง 7 จังหวัดในเกาะคิวชู และยังหมายถึงทรัพยากรการท่องเที่ยว 7 อย่างของเกาะ ตลอดจนจำนวนของขบวนรถที่มี 7 โบกี้ โดยโบกี้แรกเป็นเลานจ์ที่ชื่อว่า “Blue Moon” เป็นบาร์ภายในขบวนรถไฟ ที่มีการตกแต่งในบรรยากาศแบบญี่ปุ่นโมเดิร์น มีโซฟาและพื้นที่ส่วนกลางให้ผู้โดยสารได้นั่งผ่อนคลาย เพลิดเพลินกับการสนทนา พร้อมชมทิวทัศน์ผ่านหน้าต่างกระจกบานใหญ่แบบพาโนรามากับเครื่องดื่มสุดพิเศษ แถมยังมีเพลงบรรเลงเพราะ ๆ จากนักเปียโนและนักไวโอลิน 

file

โบกี้ถัดมาคือห้องอาหาร “Jupiter” ที่ได้นำวัตถุดิบชั้นดีจากมุมต่าง ๆ ของ 7 จังหวัดบนเกาะคิวชู มาสร้างสรรค์ศิลปะบนจานอาหารให้ผู้โดยสารได้รับประทานกัน โบกี้ที่เหลือจะเป็นห้องพักทั้งหมด ภายนอกรถไฟโดดเด่นด้วยตัวขบวนสีไวน์แดงเข้ม ตัดกับลายประกอบสีทอง ทำให้ดูสง่าและอลังการ ทันทีที่ก้าวเข้าสู่ขบวนรถไฟจะสัมผัสได้ถึงบรรยากาศอันแสนอบอุ่น เรียบหรู และคลาสสิก ภายในตกแต่งด้วยเฟอร์นิเจอร์จากวัสดุไม้ชั้นดีและผ้าในรูปแบบญี่ปุ่นโบราณ ผสานวัฒนธรรมตะวันตกได้อย่างลงตัว

ขบวนรถไฟนี้ให้บริการบนเกาะคิวชูใน 2 เส้นทาง เส้นทางแรก คือทริป 4 วัน 3 คืน เดินทางผ่าน 5 จังหวัดจากทั้งหมด 7 จังหวัด คือ ฟูกุโอกะ (Fukuoka) โออิตะ (Oita) มิยาซากิ (Miyazaki) คาโกชิมา (Kagoshima) และ คุมาโมโตะ (Kumamoto) โดยจะเริ่มออกเดินทางจากสถานีฮากาตะ ซึ่งอยู่ที่เมืองฟูกุโอกะ เมืองที่ใหญ่ที่สุดของเกาะคิวชู เมื่อรถไฟเริ่มเคลื่อนขบวน ผู้คนที่สถานีก็จะยิ้มทักทาย โบกไม้โบกมือให้คนบนรถไฟ เป็นช่วงเวลาน่ารักและน่าประทับใจที่สะท้อนให้เห็นถึงความเป็นมิตรของชาวญี่ปุ่น 

จากนั้นจึงวิ่งผ่านจุดสำคัญต่าง ๆ มากมาย อาทิ วัดโทโชจิ (Tochoji Temple) วัดหลักของศาสนาพุทธนิกายชินกอน (Shingon) ของภูมิภาคคิวชู และเป็นวัดคู่บ้านคู่เมืองฟูกุโอกะที่มีไฮไลต์ คือ พระพุทธรูปนั่งฟูกุโอกะ ไดบุสสึ (Fukuoka Daibutsu) ที่ว่ากันว่า เป็นพระพุทธรูปนั่งที่ทำจากไม้แกะสลักที่สูงที่สุดในญี่ปุ่น ภูเขาไฟอะโซะ (Mount Aso) ภูเขาไฟที่ยังคุกรุ่นและเลื่องลือเรื่องความงดงามแห่งคุมาโมโตะ เป็นต้น และจะมี 1 คืนที่ผู้โดยสารจะได้ค้างคืนที่เรียวกังชื่อดังในเมืองยูฟุอิน (Yufuin) เมืองออนเซ็นชื่อดังของโออิตะ โดยในทุกโปรแกรมที่มีการเดินทางไปเยี่ยมชมสถานที่ต่าง ๆ จะมีรถบัสพิเศษคอยรับ-ส่ง

เส้นทางที่สอง คือทริป 2 วัน 1 คืน เดินทางผ่าน 4 จังหวัด ทางตอนเหนือของเกาะคิวชู ได้แก่ ฟูกุโอกะ (Fukuoka) ซากะ (Saga) นางาซากิ (Nagasaki) และคุมาโมโตะ (Kumamoto) ซึ่งมีไฮไลต์ของวันแรกเป็นการรับประทานมื้อค่ำไปพร้อมกับการชมความงามของทะเลจีนใต้  ขณะที่ดวงอาทิตย์กำลังลับขอบฟ้าระหว่างที่รถไฟแล่นไปตามรางเลียบชายฝั่งทะเล ส่วนวันที่สองจะได้ชื่นชมกับความอลังการของภูเขาไฟยูฟู (Mount Yufu) หรือภูเขาฟูจิแห่งโออิตะ เพราะมีรูปลักษณ์คล้ายคลึงกัน ซึ่งมีความสูงกว่า 1,500 เมตร อีกทั้งยังได้เรียนรู้เกี่ยวกับวัฒนธรรมวาคารัน (Wakaran) ที่เกิดจากการผสมผสานระหว่างวัฒนธรรมญี่ปุ่น จีน และชาติตะวันตก ที่กลายเป็นเอกลักษณ์ของนางาซากิซึ่งเป็นเมืองท่าที่สำคัญในอดีต โดยแต่ละจังหวัดจะมีเอกลักษณ์โดดเด่นแตกต่างกันไป และเส้นทางจะมีการปรับเปลี่ยนตามความเหมาะสมในแต่ละฤดูกาล นั่นจึงหมายความว่า มาครั้งเดียวอาจจะไม่พอ

Travel’s Guide

•      อัตราการให้บริการของ Cruise Train Seven Stars จะเริ่มต้นที่ 480,000 เยนต่อคน รวมการให้บริการทุกอย่างและอาหารทุกมื้อ

•      ดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ cruisetrain-sevenstars.jpอัตราการให้บริการของ VSOE จะเริ่มต้นที่ 2,920 ปอนด์ต่อคน รวมการให้บริการทุกอย่างและอาหารทุกมื้อ

file
file