นพ.คณพล ภูมิรัตนประพิณ ผู้สร้าง Health at Home ต้นแบบเฮลธ์เทคไทย รับเมกะเทรนด์สังคมสูงวัย

นิตยสาร Trust ฉบับที่ 63 | คอลัมน์ New Generation

file

Health Tech เป็นอีกหนึ่งเมกะเทรนด์โลกที่มีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดย Global Market Insights ระบุว่า ตลาด Health Tech ทั่วโลกในปี 2020 ที่ผ่านมา มีมูลค่ามากถึง 1.4 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และคาดว่าจะเติบโตมากกว่า 17.4% ระหว่างปี 2021 – 2027 ส่วนหนึ่งเป็นเพราะแนวโน้มสังคมผู้สูงอายุที่เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ทั่วโลก ส่งผลให้บุคลากรทางการแพทย์เริ่มขาดแคลนและมีค่าใช้จ่ายในการรักษาที่สูงขึ้น รวมถึงการแพร่ระบาดของ COVID-19 ยิ่งเป็นตัวเร่งให้เกิดการพัฒนาเทคโนโลยี Health Tech ซึ่งเป็นอีกช่องทางในการเข้าถึงการรักษา โดยไม่ต้องเดินทางมาโรงพยาบาล หรือที่เรียกว่า Alternative Care ที่มีการเติบโตอย่างก้าวกระโดดโดยเฉพาะในต่างประเทศ

สำหรับสตาร์ทอัป Health Tech ในประเทศไทยก็พัฒนาและเติบโตขึ้นเช่นเดียวกัน โดยหนึ่งในสตาร์ทอัปรายแรก ๆ ของไทย ก็คือ Health at Home แอปพลิเคชันด้านการแพทย์เพื่อการดูแลผู้ป่วยและผู้สูงอายุถึงบ้าน ที่ก่อตั้งขึ้นในปี 2015 โดย นพ.คณพล ภูมิรัตนประพิณ ผู้ก่อตั้งและซีอีโอของ Health at Home ซึ่งมองเห็นโอกาสและเชื่อว่านี่คือรูปแบบของ Healthcare ที่จะเข้ามาตอบโจทย์การเข้าสู่สังคมสูงอายุของคนไทย

ต่อยอด Health Tech สู่ Health at Home

นพ.คณพล ภูมิรัตนประพิณ หรือ หมอตั้ม ผู้ก่อตั้งและซีอีโอของ Health at Home เล่าย้อนกลับไปว่า สมัยเรียนแพทย์เขาใฝ่ฝันว่าเมื่อเรียนจบอยากจะไปเป็นแพทย์ในชนบท เพื่อช่วยเหลือคนในพื้นที่ห่างไกลให้สามารถเข้าถึงการรักษาได้ดีขึ้น ซึ่งหลังจากเรียนจบคณะแพทยศาสตร์ จากมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เขาก็ได้รับการบรรจุเป็นผู้อำนวยการโรงพยาบาลป่าบอน จังหวัดพัทลุง

file

“โรงพยาบาลป่าบอน เป็นโรงพยาบาลชุมชนของอำเภอที่มีคนในชุมชนกว่าห้าหมื่นคนแต่มีแพทย์เพียง 3 คน และรองรับได้เพียง 30 เตียง ดังนั้น รูปแบบการรักษาที่นี่ส่วนหนึ่งจึงเป็นการลงพื้นที่เพื่อเข้าไปดูแลและรักษาผู้ป่วยถึงบ้าน นอกจากจะช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายในการเดินทางให้กับผู้ป่วยแล้ว ยังช่วยให้คนในชุมชนสามารถเข้าถึงการรักษาได้อย่างทั่วถึงด้วย ซึ่งนี่เป็นจุดเปลี่ยนทำให้เกิดความคิดที่ว่า การแพทย์ไม่ใช่แค่เพียงการเข้ามารับการรักษาที่โรงพยาบาลเท่านั้น”

หลังใช้ทุนที่โรงพยาบาลป่าบอนครบ 3 ปี หมอตั้มจึงตัดสินใจไปเรียนต่อด้านอายุรศาสตร์ที่โรงพยาบาลธรรมศาสตร์เฉลิมพระเกียรติ ก่อนได้ทุนไปเรียนต่อด้านเวชศาสตร์ผู้สูงอายุ (Geriatric Medicine) ที่ Icahn School of Medicine at Mount Sinai สหรัฐอเมริกา ขณะเรียนต่อหมอตั้มได้เห็นเทรนด์การรักษารูปแบบใหม่ ที่เริ่มนำเทคโนโลยีเข้ามาดูแลผู้ป่วยจากระยะไกล หรือการแพทย์ทางไกล (Telemedicine) จึงเชื่อว่าเทรนด์ด้านเฮลธ์แคร์จะเกิดขึ้นที่บ้าน พร้อมมองเห็นโอกาสในการพัฒนาธุรกิจด้าน Health Tech เพื่อรองรับการเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุของประเทศไทย

นพ.คณพลเล่าว่า การได้มีโอกาสดูแลผู้สูงอายุและผู้ป่วยหลายคน หลังกลับมาใช้ทุนที่โรงพยาบาลกรุงเทพ ในแผนกเวชศาสตร์อายุรวัฒน์ ก็พบว่า หลายคนไม่อยากนอนโรงพยาบาล อยากกลับไปพักฟื้นที่บ้าน หลายคนไม่รู้ว่าจะต้องดูแลตัวเองอย่างไร หลังจากออกจากโรงพยาบาลไปแล้ว หลายคนมองหาผู้ดูแลมืออาชีพในขณะที่ต้องพักฟื้นที่บ้านหลายคนไม่อยากอยู่บ้าน เพราะไม่มีคนดูแล หรือคนในครอบครัว ลูกหลานต้องทำงานหนัก จึงไม่อยากเป็นภาระ นี่จึงกลายเป็นจุดเริ่มต้นในการก่อตั้งธุรกิจ Health at Home ขึ้น เพื่อเปลี่ยนบ้านให้กลายเป็นสถานพยาบาล โดยหวังจะเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยตอบโจทย์ความต้องการด้านสุขภาพ ด้วยบริการดูแลผู้สูงอายุและผู้ป่วยถึงบ้านที่เชี่ยวชาญและครบวงจร

Health at Home บริการดูแลผู้สูงอายุอย่างมืออาชีพ

นพ.คณพลกล่าวว่า ความโดดเด่นของแพลตฟอร์ม Health at Home คือ การเชื่อมต่อเทคโนโลยีเข้ากับการแพทย์ได้อย่างลงตัว อีกทั้งยังมีการผสมผสานระหว่างออนไลน์กับออฟไลน์เข้าด้วยกัน เรียกได้ว่าเป็น Hybrid Platform ที่มีทั้งความเชี่ยวชาญในการดูแลและรักษาผู้ป่วย ตลอดจนการออกแบบแพลตฟอร์มให้ง่ายต่อการใช้งานและเหมาะสำหรับผู้สูงอายุ รวมถึงง่ายต่อการเข้าถึงข้อมูล อีกทั้งยังมีฐานข้อมูลที่ถูกจัดเก็บอย่างเป็นระบบและสามารถดึงมาใช้งานได้อย่างรวดเร็ว

“การให้บริการของ Health at Home จะเป็นระบบสมาชิกแบบ One Stop Service คือ ทาง Health at Home จะจัดหาผู้ดูแลมืออาชีพให้ โดยไม่ต้องกังวลว่า หากในอนาคตผู้ดูแลคนนี้ลาออก คนถัดไปจะเข้ามาทำงานได้ต่อเนื่องหรือไม่ เพราะเรามีการบันทึกอาการของผู้ป่วยอย่างละเอียดตลอดระยะการดูแล เพื่อช่วยในการส่งต่อเคสให้ผู้ดูแลใหม่สามารถรับไม้ต่อได้อย่างต่อเนื่องและมีประสิทธิภาพ ทั้งยังมีทีมแพทย์และพยาบาลที่คอยให้คำปรึกษาและแนะนำผู้ดูแลอย่างใกล้ชิดด้วย”

ปัจจุบัน Health at Home มีรูปแบบการให้บริการหลัก ๆ  3 บริการ คือ 1. การดูแลผู้สูงอายุที่บ้าน (Home Care) เป็นการส่งผู้ดูแลมืออาชีพไปดูแลผู้สูงอายุและผู้ป่วยที่บ้าน โดยผู้ใช้บริการสามารถตรวจสอบประวัติและประสบการณ์การทำงานก่อนเริ่มทำงานได้พร้อมบริการปรึกษาแพทย์ทางไกล 2. ศูนย์ดูแลผู้สูงอายุ (Care Center) เป็นศูนย์ดูแลผู้สูงอายุที่ถูกออกแบบให้เหมือนบ้าน และ 3. คลีนิครักษาที่ให้คำปรึกษาทางไกล (Telemedicine) โดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ซึ่งการใช้บริการก็มีขั้นตอนที่ไม่ซับซ้อน แค่เพียงเลือกบริการและกรอกข้อมูลเบื้องต้นผ่านเว็บไซต์หรือไลน์ของ Health at Home ฝ่ายบริการลูกค้าก็จะทำการติดต่อกลับไปในทันทีหลังจากได้รับข้อมูล

file

“Health at Home ให้ความสำคัญในเรื่องของการคัดกรองและคัดเลือกผู้ดูแล หรือที่เรียกว่า Care Pro เป็นอย่างมาก เนื่องจากเป็นหัวใจสำคัญของการให้บริการ ดังนั้น Care Pro ที่ผ่านการคัดเลือกจะได้รับการฝึกอบรมอย่างเข้มงวดตามหลักสูตรพยาบาลวิชาชีพที่ได้รับการรับรองโดยกระทรวงสาธารณสุข ซึ่งจะต้องมีทั้ง Hard Skill เช่น ทักษะทางการพยาบาลที่ครอบคลุมตั้งแต่ขั้นพื้นฐานไปจนถึงการทำกายภาพบำบัดเบื้องต้น การดูแลผู้ป่วยติดเตียง การวัดสัญญาณชีพเพื่อให้มั่นใจว่าผู้สูงอายุหรือผู้ป่วยนั้นปลอดภัยดี หรือมีสัญญาณอะไรที่ควรต้องไปโรงพยาบาล เป็นต้น ควบคู่ไปกับ Soft Skill เช่น ทัศนคติที่ดีต่ออาชีพ ทักษะในการสื่อสารและเข้าใจผู้ป่วย เป็นต้น เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการดูแลอย่างเป็นมืออาชีพ”

จากวันเริ่มต้นจนถึงวันนี้เป็นเวลากว่า 7 ปี ที่ Health at Home มอบความสุขและคุณภาพชีวิตที่ดีให้แก่ผู้สูงอายุและผู้ป่วยกว่า 6,000 ครอบครัว ภายใต้การดูแลของทีมงานกว่า 30 คน และ Care Pro หรือผู้ดูแลกว่า 400 คน ซึ่งปัจจุบันจำนวนผู้ป่วยที่เข้ารับบริการที่ Health at Home มีการเติบโตขึ้นทุกปี ปีละ 1 - 2 เท่า โดยส่วนใหญ่เป็นผู้ป่วยที่มีอายุ 70 ปีขึ้นไป ซึ่งเป็นผู้ป่วยหลังผ่าตัด ผู้ป่วยหลอดเลือดและมีอาการติดเตียง ผู้ป่วยมะเร็ง และผู้ป่วยสมองเสื่อม เป็นต้น

เปลี่ยนบ้านให้เป็นสถานพยาบาลที่ดีที่สุด

แม้ COVID-19 จะสร้างผลกระทบกับศูนย์ดูแลผู้สูงอายุ แต่ก็สร้างโอกาสใหม่ในการขยายบริการคลินิครักษาทางไกลของ Health at Home ให้ครอบคลุมมากกว่าเดิม ด้วยบริการที่เรียกว่า Health at Work ซึ่งมีจุดเด่น คือ สามารถปรึกษาแพทย์ทางไกลได้ตลอด ไม่ว่าจะป่วยทางร่างกายหรือจิตใจ พร้อมจัดส่งยาให้ภายใน 30 นาที ในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล โดยเน้นเจาะกลุ่มคนทำงานในบริษัท และในอนาคต Health at Home จะขยายการบริการให้ครอบคลุมทั่วทั้งกรุงเทพฯ และปริมณฑล รวมถึงการให้บริการในเชิงลึกมากขึ้นด้วย

file

“COVID-19 เข้ามาช่วยปลดล็อกให้ผู้คนกล้าที่จะใช้บริการแพทย์ทางไกลมากขึ้น ในขณะเดียวกันก็เป็นแรงผลักให้เกิดการพัฒนาระบบเพื่อให้มีความเสถียรและพร้อมที่จะรองรับผู้ป่วยเป็นจำนวนมาก ซึ่ง Health at Home ก็เป็นหนึ่งในแพลตฟอร์มที่พร้อมเข้ามาช่วยดูแลและรองรับความต้องการของผู้ป่วยในช่วง COVID-19 ได้เป็นอย่างดี”

นพ.คณพลกล่าวต่อว่า สิ่งสำคัญในการนำเทคโนโลยีมาใช้ในการดูแลผู้ป่วยเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดนั้น ไม่ใช่แค่เรื่องประสิทธิภาพของเทคโนโลยีเท่านั้น แต่ต้องให้ความสำคัญในเรื่องของมาตรฐานการให้บริการด้วย ดังนั้น Health at Home จึงถูกออกแบบให้เป็นทั้ง Hi Tech และ Hi Touch ที่มีบริการดูแลลูกค้า (Customer Service) เพื่อช่วยเหลือและมอบประสบการณ์การบริการที่ดีให้แก่ลูกค้า โดยมีเจ้าหน้าที่ที่พร้อมให้คำแนะนำและช่วยแก้ไขปัญหาตลอดทุกวัน ไม่เว้นวันหยุด

และในอนาคต นพ.คณพลเชื่อว่า “แนวโน้มการรักษาทางไกลและการดูแลรักษาที่บ้านจะยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง เพราะผู้คนจะหันมาดูแลตัวเองและพบแพทย์ทางไกลกันมากขึ้นพร้อมทิ้งท้ายว่า ถ้าเราสามารถเปลี่ยนบ้านให้กลายเป็นสถานพยาบาลที่ดีที่สุดได้ ค่าใช้จ่ายในการรักษาก็จะถูกลง เวลาในการได้ออกไปทำกิจกรรมหรือใช้ชีวิตต่าง ๆ ก็จะเพิ่มขึ้น และตามมาด้วยคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น เพราะไม่ต้องฝ่ารถติดไปโรงพยาบาล และไม่ต้องรอคิวเพื่อจะเข้ารับการรักษา เป็นต้น ซึ่งหวังว่า Health at Home จะเป็นบริการที่เข้ามาตอบโจทย์และช่วยยกระดับการดูแลชีวิตของคนไทยให้ดียิ่งขึ้น พร้อมเป็นต้นแบบมาตรฐานในการดูแลผู้สูงอายุให้สามารถใช้ชีวิตได้อย่างมีคุณภาพและมีความสุข 

---

ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่