หยุดหมอกควันเรื้อรัง คืนอากาศบริสุทธิ์ สร้างรายได้ สู่ชุมชนยั่งยืน ด้วยมือวิสาหกิจเพื่อสังคม-เอกชน

นิตยสาร Trust ฉบับที่ 70 | คอลัมน์ Giving

1730367257097

‘ปัญหาหมอกควัน’ นับเป็นประเด็นที่สร้างผลกระทบด้านสุขภาพแก่คนไทยมายาวนาน และยังไม่มีทีท่าว่าจะจางหายไปจากประเทศไทย เมืองแห่งเกษตรกรรมที่การ ‘เผา’ เป็นหนึ่งในวิธีเตรียมพื้นที่เพาะปลูกอันรวดเร็วที่สุด โดยเฉพาะในพื้นที่ภาคเหนือที่ประสบปัญหาค่าฝุ่นอย่างหนัก จนเป็นหนึ่งในสาเหตุที่ทำให้ประชาชนในพื้นที่เจ็บป่วย และยังทำให้ธรรมชาติเสียสมดุล ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศที่แปรปรวน เช่น โลกร้อน ฝนทิ้งช่วงเป็นเวลานาน น้ำท่วมหนัก เป็นต้น นี่จึงเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้เกิด HazefreeSE (Haze Free Social Enterprise) วิสาหกิจเพื่อสังคมไร้ควันขึ้น

จากงานวิจัย...สู่วิสาหกิจเพื่อสังคม ‘HazefreeSE’

    อาจารย์ปองทิพย์ เที่ยงบูรณธรรม Carbon Finance Specialist ผู้ร่วมก่อตั้ง Haze Free Social Enterprise วิสาหกิจเพื่อสังคมไร้ควัน เล่าว่า ปัญหามลพิษทางอากาศจากฝุ่นควันในประเทศไทย มีต้นตอจากหลายสาเหตุ โดยได้ส่งผลกระทบในวงกว้างมากขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งการเผาพื้นที่เพาะปลูกถือเป็นส่วนหนึ่งของปัญหา ในปี 2539 HazefreeSE จึงริเริ่มโครงการ ‘ประเทศไทยไร้หมอกควัน’ ขึ้น โดยร่วมกับมหาวิทยาลัยเครือข่าย 7 แห่ง ลงพื้นที่สอบถามชาวบ้านถึงสาเหตุของการเผา จนพบว่า เพราะความยากจน ชาวบ้านเลยอยากเพิ่มปริมาณผลผลิต จึงเร่งเตรียมพื้นที่เพื่อให้สามารถเพาะปลูกได้หลายรอบต่อปี ประกอบกับชาวบ้านส่วนใหญ่ไม่มีกรรมสิทธิ์ในการถือครองที่ดินเป็นของตัวเอง จึงไม่มีเหตุผลที่จะต้องรักษาหน้าดินเพื่อใช้ประโยชน์อย่างยั่งยืน

    ด้วยเหตุนี้ ทำให้เขาเลือกที่จะเคลียร์พื้นที่เพาะปลูกด้วยการ ‘เผา’ ทำลาย เพื่อเตรียมปลูกพืชเศรษฐกิจอย่างข้าวโพด พืชอายุสั้นที่ใช้เวลาในการเพาะปลูกเพียง 4-6 เดือน ก็สามารถตัดขายได้ และเลือกที่จะใช้วิธีการเผาเพื่อหมุนรอบการปลูกใหม่อีกครั้ง จนกลายเป็นวัฏจักร อันเป็นต้นตอของปัญหาหมอกควันที่เกิดขึ้น

    จากปัญหาที่เกิดขึ้น HazefreeSE จึงได้จัดทำโมเดลแนวทางปฏิบัติ เพื่อสร้างความยั่งยืนในด้านการเพาะปลูกแก่เกษตรกรหรือคนในพื้นที่ ให้สามารถทำเกษตรกรรมได้โดยไม่ต้องพึ่งพาการเผา ทั้งการปรับเปลี่ยนการใช้ดินที่ไม่ใช้สารเคมี และการออกแบบห่วงโซ่อุปทานทางการเกษตร ยกตัวอย่าง การปลูกไม้ยืนต้นเพื่อเก็บผลผลิตระยะยาวแทนการปลูกพืชตามฤดูกาลหมุนเวียนในพื้นที่เพาะปลูก ฯลฯ ซึ่งไม่เพียงแต่จะช่วยลดปัญหาหมอกควันได้แล้ว ยังช่วยให้ครอบครัวของเกษตรกรมีรายได้และกินใช้ผลผลิตในพื้นที่ได้อย่างหลากหลายกว่าที่ผ่านมาด้วย

1730367446467

วนเกษตรอินทรีย์เพื่อชุมชนยั่งยืน

    หลังโครงการวิจัยเสร็จสิ้นไปเมื่อปี 2564 แต่ความมุ่งมั่นที่จะเปลี่ยนให้หลายพื้นที่เป็นเกษตรไร้ควันยังคงอยู่ ทาง อ.ปองทิพย์และผู้ที่เกี่ยวข้อง จึงได้หารือกับผู้เชี่ยวชาญด้านสิ่งแวดล้อม เดินหน้าแก้ปัญหาที่ ‘ต้นเหตุ’ อย่างจริงจัง ผ่านการสนับสนุนให้เกษตรกรที่ปลูกพืชเชิงเดี่ยว หรือการปลูกพืชชนิดเดียวที่ให้ผลผลิตสูง หันมาปลูกพืชแบบวนเกษตรอินทรีย์ อาทิ อาโวคาโด มะขามป้อม ส้ม และกาแฟ ซึ่งเป็นวิถีเกษตรยั่งยืนแบบไร่นาป่าผสม

    โดยเริ่มจากการให้ความรู้ตั้งแต่การเตรียมดิน หรือเรื่องที่เป็นมาตรฐานเกษตรอินทรีย์ตั้งแต่ต้น เพื่อลดการเผาและใช้สารเคมีในการปลูกพืช ให้ผลผลิตออกมาสวย ไร้สารพิษ ดีต่อผู้บริโภค และเป็นที่สนใจของตลาด พร้อมกับช่วยหาเครือข่าย (Connection) และตลาดให้กับเกษตรกรในเครือข่ายที่หันมาปลูกพืชอินทรีย์ รวมถึงมีการนำขบวนการรับรองมาตรฐานเกษตรแบบมีส่วนร่วม (PGS) มาเป็นกรอบในการดำเนินงาน โดยใช้วิธีรับประกันคุณภาพผลผลิตเกษตรอินทรีย์เพื่อเพิ่มมูลค่าผลผลิต โดยเริ่มนำร่องในพื้นที่จังหวัดน่านและเชียงใหม่ ส่งผลให้เกษตรกรมีรายได้เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ประมาณ 17,000 บาทต่อไร่ สูงสุดอยู่ที่ประมาณ 50,000 บาทต่อไร่ ซึ่งสูงขึ้นจากการปลูกข้าวโพดที่ทำรายได้เพียง 4,400 บาทต่อไร่

    “เราเข้าใจดีว่า การเปลี่ยนจากการทำเกษตรเคมีมาเป็นเกษตรอินทรีย์ มันคือการเปลี่ยนวิถีชีวิต เพราะว่าเขาจะต้องเปลี่ยนกิจกรรมที่เขาทำทุก ๆ วัน ไม่ใช่แค่หยุดพ่นยา หรือลดการใช้สารเคมีชนิดต่าง ๆ แต่เกษตกรจะต้องเรียนรู้สิ่งใหม่ที่จะเกิดขึ้น ซึ่ง HazefreeSE พร้อมที่จะนำองค์ความรู้ไปติดอาวุธให้ และช่วยเขาวางแผนการเพาะปลูกอย่างเหมาะสม อย่างในฤดูร้อนอาจจะปลูกพืชที่ใช้น้ำน้อย อาทิ ฟักทอง พอเข้าหน้าฝนก็เก็บเกี่ยวได้พอดี เขาก็มีความสุขกับการได้อยู่ในพื้นที่ แล้วก็มีกิจกรรมที่หมุนเวียนสร้างรายได้ให้เขาตลอดทั้งปี เด็ก ๆ ก็มาช่วยพ่อแม่ทำงานและมีส่วนร่วมในการแสดงความคิดเห็น คนในครอบครัวใกล้ชิดกันมากขึ้น ที่สำคัญทั้งครอบครัวก็มีสุขภาพดีขึ้น ดินเองก็ดีขึ้น และลดการเผาพื้นที่เพาะปลูกได้อีกด้วย”

    ปัจจุบัน โครงการนี้ครอบคลุมพื้นที่ 7 จังหวัดในภาคเหนือ มีเกษตรกรเข้าร่วมโครงการประมาณ 200 ครอบครัว พื้นที่รวมประมาณ 636 ไร่ในการทำวนเกษตรอินทรีย์ โดยเกษตรกรเริ่มให้ความสนใจปรับเปลี่ยนรูปแบบการเพาะปลูกตามที่ HazefreeSE แนะนำ จึงคาดหวังว่า หลังจากนี้จะเพิ่มจำนวนเกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการเป็น 1,000 ครอบครัว ขยายพื้นที่เพาะปลูกอาหารปลอดภัยเป็น 3,000 ไร่ เพื่อให้เกษตรกรมีรายได้เพิ่มเป็น 25,000 บาทต่อไร่ [KA1] [PB2] หรือมากกว่าการปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ 5 เท่า รวมถึงตั้งเป้าหมายระยะยาวในการเปลี่ยนพื้นที่เผาไหม้เป็นพื้นที่สีเขียว มีการกักเก็บคาร์บอนได้ประมาณ 10,000 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่าต่อปี และลดปัญหา PM2.5 ให้ได้ 21 ตันต่อปี ทั้งหมดนี้คือเป้าหมายที่เราจะทำให้สำเร็จต่อไป

1730367650451
1730367660609

‘พ่อหลวงสุทัศน์’ เกษตรกรที่เปิดใจให้เกษตรอินทรีย์

1730368308079
1730367817169

    คุณสุทัศน์ ยงศักดิ์วัฒน์ หรือพ่อหลวงสุทัศน์ ผู้ใหญ่บ้านบ้านนาฮ่องใต้ ตำบลแม่สึก อำเภอแม่แจ่ม จังหวัดเชียงใหม่ เกษตรกรรุ่นบุกเบิกที่ตัดสินใจเข้าร่วมโครงการกับ HazefreeSE มาเกือบ 10 ปี ผู้มีแนวคิดอยากปรับเปลี่ยนการปลูกพืชเชิงเดี่ยวมาเป็นวนเกษตรอินทรีย์ แต่ติดปัญหาเรื่องเงินทุน ความรู้ และตลาดรองรับสินค้า แม้ที่ผ่านมาจะมีหลายหน่วยงานเข้ามาช่วยเหลือ แต่เพียงไม่กี่ปีก็ยกเลิกโครงการ ต่างจาก HazefreeSE ที่ช่วยเหลือกันมานานจนเกิดความไว้วางใจ 

    ปัจจุบัน พ่อหลวงสุทัศน์ได้ปรับเปลี่ยนจากการปลูกข้าวโพดมาเป็นการทำสวนแบบผสมผสาน โดยปลูกทั้งอาโวคาโด มะขามป้อม ส้ม ฯลฯ เนื่องจากการทำเกษตรแบบเดิมสร้างมลภาวะที่ไม่ดีให้กับคนในชุมชน รวมถึงตัวพ่อหลวงเองก็ประสบปัญหาด้านสุขภาพ ที่เกิดจากการใช้ปุ๋ยเคมีและยากำจัดวัชพืช นี่จึงเป็นอีกหนึ่งสาเหตุที่ทำให้ปรับความคิด  

    “เรารู้สึกว่าร่างกายเปลี่ยนไป เพราะการใช้สารเคมีและเรื่องมลพิษที่เกิดขึ้น จริง ๆ แล้วคนวัย 50 น่าจะต้องเป็นวัยที่แข็งแรงอยู่ แต่ทุกวันนี้ เรากลับมีปัญหาสุขภาพหลายเรื่อง ดังนั้น ปัญหาสุขภาพนี่แหละ เป็นส่วนหนึ่งที่เราตัดสินใจว่าจะต้องเปลี่ยน และถึงแม้จะเป็นจุดเล็ก ๆ ของชุมชนที่เริ่มเปลี่ยน แต่ก็ภูมิใจที่เราได้เป็นส่วนหนึ่งของการทำเกษตรที่สร้างสุขภาพที่ดี ผมอยากเป็นตัวอย่างให้ชาวบ้าน ว่าการเปลี่ยนมาทำเกษตรตามความต้องการของตลาด ถูกต้องตามฤดูกาล ไม่ทำลายสิ่งแวดล้อม ก็สามารถเพิ่มรายได้มากกว่าการทำเกษตรแบบเดิมได้ รวมถึงอยากทำให้ชาวบ้านเห็นว่า ผู้นำของเขาเข้าร่วมและหน่วยงานนี้มีความเอาใจใส่ ให้การดูแล มีตลาดรองรับ มีรายได้เพิ่มขึ้น ก็จะทำให้ชาวบ้านกล้าตัดสินใจเข้าร่วมมากขึ้น”

    พ่อหลวงยังเล่าต่อว่า ข้อดีของการปลูกพืชยืนต้น จะทำให้คนในพื้นที่หวงแหนพื้นที่ คอยทำแนวกันไฟ เพื่อไม่ให้ไฟมาไหม้แหล่งเพาะปลูกที่กว่าจะเก็บผลผลิตได้ต้องใช้ระยะเวลา 4-5 ปี ยกตัวอย่าง ต้นส้ม เป็นอีกตัวอย่างที่ทำให้เห็นภาพว่า การเปลี่ยนรูปแบบการเพาะปลูกจะช่วยลดปัญหาไฟป่า รวมถึงการเผาทำลายวัชพืชของเกษตรกรอย่างยั่งยืนได้อีกด้วย  

ดึงภาคเอกชนร่วมสนับสนุน

    การปลูกพืชที่เป็นไม้ยืนต้นบนพื้นที่ทำกินเพื่อสร้างระบบนิเวศใหม่นั้น ยังสามารถปรับใช้กับกลไกการติดตามประเมินผลการดำเนินงานเพื่อขอรับรอง Carbon Credit ได้ ทาง HazefreeSE จึงนำโมเดลนี้ไปปรึกษากับตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ภายใต้โครงการ SET Social Impact Gym เพื่อช่วยปรับจูนแนวคิดดังกล่าวให้ออกมาเป็นรูปแบบธุรกิจ ที่จะช่วยดึงภาคเอกชนมาให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อมผ่านโครงการนี้

    จากประเด็นนี้เอง จึงเป็นที่มาให้กลุ่มทิสโก้ตัดสินใจร่วมสนับสนุนโครงการต้นแบบ ‘การปลูกป่าเพื่อสร้างอาชีพไร้ควันที่ยั่งยืน’ บนพื้นที่ปลูกพืชของพ่อหลวงสุทัศน์ จำนวน 5 ไร่ พร้อมให้การสนับสนุนงบประมาณในการติดตามประเมินผลดำเนินงานเป็นระยะเวลา 10 ปี

    โดยคุณกิตติพงศ์ เหลืองอิงคะสุต ผู้อำนวยการอาวุโส รองหัวหน้ากิจการสาขา 2 (สาขาเชียงใหม่) ธนาคารทิสโก้ ซึ่งเป็นพื้นที่โครงการต้นแบบ และเป็นหนึ่งในคณะทำงานในครั้งนี้กล่าวว่า ทิสโก้มองเห็นประโยชน์ของโครงการนี้ ที่เข้ามาช่วยขจัดปัญหาเรื่องการเผาพื้นที่เพาะปลูก สร้างรายได้ที่ยั่งยืนมากกว่าการปลูกพืชเชิงเดี่ยว รวมถึงเป็นวิธีที่ดีกว่าการปลูกป่าเชิง CSR แบบเดิม ๆ ที่ปลูกแล้วจบ ไม่มีคนเข้าไปดูแลทำให้ต้นไม้อาจตายได้ แต่การสนับสนุนในลักษณะนี้ คนในพื้นที่จะมีส่วนช่วยในการดูแลเพื่อให้ได้ผลผลิตและนำไปขายทำรายได้ต่อไป ซึ่งเชื่อว่าโครงการนี้จะประสบความสำเร็จไปด้วยดี เพราะพ่อหลวงเองมีแนวคิดที่เหมือนกันและลงมือทำอย่างจริงจัง 

1730368456161
1730368492765
1730368470846

นี่เป็นเพียงก้าวแรกของความร่วมมือของกลุ่มคน และหน่วยงานที่เล็งเห็นถึงการแก้ปัญหาฝุ่นควันและการเผาป่า โดยหวังว่า การดำเนินงานในครั้งนี้จะช่วยคืนอากาศที่บริสุทธิ์ สร้างระบบนิเวศของระบบอาหารที่ยั่งยืน มีการผลิตและบริโภคอาหารที่ปลอดภัยต่อสุขภาพ เพิ่มจำนวนไม้ยืนต้นในพื้นที่เพื่อป้องกันการใช้ไฟในพื้นที่เกษตรกรรม สร้างรายได้สู่การทำเกษตรกรรมอย่างยั่งยืน และช่วยดูแลสิ่งแวดล้อมให้กลับมาสมบูรณ์ดังเดิม 

 
Scroll to Top
ไอคอน PDPA

เว็บไซต์นี้มีการจัดเก็บคุกกี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการใช้งานเว็บไซต์ของท่านให้ดียิ่งขึ้น และนำเสนอโฆษณาที่เกี่ยวข้องและตรงกับความสนใจของท่าน โดยท่านสามารถศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้จาก นโยบายการใช้คุกกี้ กรุณากดยอมรับเพื่อยินยอมให้เราใช้คุกกี้

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    เปิดใช้งานตลอด

    ประเภทของคุกกี้มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้ได้อย่างเป็นปกติ และเข้าชมเว็บไซต์ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้
    รายละเอียดคุกกี้

  • คุกกี้ที่จำเป็น

    ประเภทของคุกกี้มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้ได้อย่างเป็นปกติ และเข้าชมเว็บไซต์ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้

บันทึกการตั้งค่า