หัวรถจักรไอน้ำโบราณยุคหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 6 ขบวนพิเศษ...พาเที่ยวเส้นทางสายประวัติศาสตร์
นิตยสาร Trust ฉบับที่ 69 | คอลัมน์ Going Away

หนึ่งปีมีเพียง 6 วันเท่านั้นที่ไอน้ำพวยพุ่งของหัวรถจักรไอน้ำโบราณยุคหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 เตรียมพร้อมเดินทางนำเที่ยวสู่สองเส้นทางสายประวัติศาสตร์กับ “ภารกิจหัวรถจักรไอน้ำขบวนพิเศษนำเที่ยว” ของการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) 6 ขบวนพิเศษ ใน 6 โอกาสพิเศษของทุกปี ซึ่งบุคลิกอันแสนสง่างามสุดคลาสสิกของเจ้าหัวรถจักรไอน้ำนี้ สร้างความตื่นตาตื่นใจให้ผู้คนที่ได้ยลโฉมในทุกครั้ง ยิ่งนักท่องเที่ยวที่มีตั๋วโดยสารอยู่ในมือและกำลังร่วมออกเดินทางไปกับหัวรถจักรไอน้ำขบวนพิเศษนี้ ยิ่งเต็มไปด้วยความตื่นเต้นกับประสบการณ์ครั้งใหม่และจุดหมายปลายทางข้างหน้าในมุมมองใหม่ ๆ ที่เชื่อว่า ทริปนี้จะตราตรึงอยู่ในความทรงจำอย่างไม่รู้ลืมได้อีกครั้ง
สำหรับหัวรถจักรไอน้ำขบวนพิเศษนี้ เป็นหัวรถจักรไอน้ำรุ่นแปซิฟิก หมายเลข 824 และ 850 เป็นรถไฟเก่าแก่ในยุคหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่มีอายุกว่า 124 ปี ผ่านเหตุการณ์สำคัญทางประวัติศาสตร์มานับไม่ถ้วน
หัวรถจักรไอน้ำ รถไฟยุคสงครามโลก
สำหรับหัวรถจักรไอน้ำรุ่นแปซิฟิก เหลือเพียง 5 คันสุดท้ายในประเทศไทย (หัวรถจักรไอน้ำรุ่นนี้ถูกสร้างขึ้นมาจำนวน 30 คัน ระหว่าง พ.ศ. 2492-2493 โดยสมาคมอุตสาหกรรมรถไฟแห่งประเทศญี่ปุ่น) ซึ่งทุกคันได้รับการดูแล ซ่อมแซมเป็นอย่างดีที่โรงรถจักรธนบุรี โดยการรถไฟแห่งประเทศไทย แต่หัวรถจักรไอน้ำสุดคลาสสิกที่นำมาสำหรับ “ภารกิจหัวรถจักรไอน้ำขบวนพิเศษนำเที่ยว” เป็นหมายเลข 824 ที่นำมาใช้งานในเดือนสิงหาคม 2492 ซึ่งใช้ฟืนเป็นเชื้อเพลิง ต่อมาถูกดัดแปลงให้ใช้น้ำมันเตาเป็นเชื้อเพลิงแทนในปี 2514 ส่วนหมายเลข 850 ถูกนำมาใช้งานเมื่อเดือนมีนาคม 2494 เป็น 1 ใน 5 คันของหัวรถจักรต้นแบบที่ผู้ผลิตติดตั้งระบบใช้น้ำมันเตาเป็นเชื้อเพลิงในการเผาไหม้แทนฟืน
หัวรถจักรไอน้ำโบราณทั้งสองคันนี้ ถูกนำออกมาเพื่อไปล่องท่องเที่ยวตั้งแต่ปี 2555 เริ่มต้นขบวนแรกในวันที่ 5 ธันวาคม จากนั้นกลายเป็นธรรมเนียมประจำปีมาถึงทุกวันนี้ ซึ่งเมื่อมีการเปิดให้จองตั๋วเที่ยวดังกล่าว ก็ได้เสียงตอบรับเป็นอย่างมาก เพราะถือเป็นประสบการณ์ด้านการท่องเที่ยวที่ดี ที่ควรออกไปสัมผัสสักครั้งหนึ่งด้วย

ขบวนหัวรถจักรไอน้ำโบราณ มีเพียงปีละ 6 ครั้ง
ในแต่ละปี รฟท. กำหนดวันเดินทางของหัวรถจักรไอน้ำขบวนพิเศษเพียง 6 โอกาสพิเศษในเส้นทาง “กรุงเทพ-อยุธยา” และ “กรุงเทพ-ฉะเชิงเทรา” ที่สลับสับเปลี่ยนหมุนเวียนกันไป ได้แก่
- วันที่ 26 มีนาคม วันสถาปนากิจการรถไฟ
- วันที่ 3 มิถุนายน วันเฉลิมพระชนมพรรษา สมเด็จพระนางเจ้าสุทิดา พัชรสุธาพิมลลักษณ พระบรมราชินี
- วันที่ 28 กรกฎาคม วันเฉลิมพระชนมพรรษา พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราลงกรณ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว
- วันที่ 12 สิงหาคม วันเฉลิมพระชนมพรรษา สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนี พันปีหลวง และวันแม่แห่งชาติ
- วันที่ 23 ตุลาคม วันปิยมหาราช ระลึกถึงพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 พระบิดาแห่งการรถไฟไทย
- วันที่ 5 ธันวาคม วันคล้ายวันพระราชสมภพ พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร และวันพ่อแห่งชาติ

ภาพจาก Facebook : ทีมพีอาร์การรถไฟแห่งประเทศไทย

ภาพจาก Facebook : ทีมพีอาร์การรถไฟแห่งประเทศไทย
สองเส้นทางท่องเที่ยวเชิงประวัติศาสตร์ เส้นทางกรุงเทพ–อยุธยา
หัวรถจักรไอน้ำขบวนพิเศษนำการเดินทางสู่อดีตราชธานี “เมืองอโยธยา” โดยกำหนดการเคลื่อนขบวนออกจากสถานีกรุงเทพ (หัวลำโพง) เวลา 08.10 น. ถึงสถานีอยุธยา เวลา 10.20 น. นักท่องเที่ยวใช้เวลาท่องเที่ยวในอยุธยาเมืองเก่าได้อย่างอิสระ จะไปสักการะกราบไหว้ขอพรสิ่งศักดิ์สิทธิ์และวัดสำคัญรอบเมือง หรือท่องเที่ยวโบราณสถานอันทรงคุณค่าทางประวัติศาสตร์ โดยห้ามพลาดไปแวะเที่ยว “วัดมหาธาตุ” วัดโบราณที่จำลองแบบมาจากปราสาทนครวัดอายุกว่า 600 ปี สร้างขึ้นในสมัยสมเด็จพระเจ้าปราสาททอง เป็นที่ประดิษฐานพระบรมธาตุใจกลางพระนคร และอย่าลืมไปแวะชม Unseen สิ่งมหัศจรรย์ “เศียรพระโบราณที่ถูกรากไม้ขึ้นปกคลุม” ถ้ามาเยือนวัดแห่งนี้แล้วไม่มีมุมนี้ ถือว่ามาไม่ถึงอยุธยา
นอกจากนี้ ยังมีวัดสำคัญอีกหลายแห่งในเมืองอยุธยา ทั้งวัดใหญ่ชัยมงคล วัดพนัญเชิง วัดไชยวัฒนาราม วัดพระศรีสรรเพชญ์ วัดราชบูรณะ ฯลฯ มีวัดไหนอยู่ในใจไปปักหมุดกราบไหว้กันให้ถึงที่ได้เลยนะออเจ้า
เที่ยวชมวัดเก่าแก่แล้ว ยังเหลือเวลาให้ได้เพลิดเพลินเดินซื้อสินค้าในแหล่งท่องเที่ยวสำคัญ ตลาดเก่า ตลาดน้ำอโยธยา ตลาดน้ำวัดท่าการ้อง (ตลาดกรุงเก่าแหล่งรวมของฝากของกินในราคาชาวบ้าน) หรือแวะชิมอาหารขึ้นชื่อเมืองอยุธยาก็มีหลายแหล่งให้ไปปักหมุด และอย่าลืม…ของฝากโรตีสายไหมติดไม้ติดมือฝากเพื่อนฝูงและคนที่บ้านด้วย รวม ๆ แล้วมีเวลาเที่ยวอย่างหนำใจถึง 6 ชั่วโมง จากนั้นเดินทางกลับออกจากสถานีอยุธยา เวลา 16.40 น. ถึงสถานีกรุงเทพ (หัวลำโพง) เวลา 18.50 น.
นอกจากนี้ ในบางทริป รฟท. ยังได้ร่วมกับ ททท. สำนักงานพระนครศรีอยุธยา จัดกิจกรรมท่องเที่ยวด้วยตุ๊กตุ๊ก ราคาพิเศษแบบ One Day Trip ให้กับนักท่องเที่ยวที่ร่วมเดินทางกับหัวรถจักรไอน้ำขบวนพิเศษนำเที่ยว โดยพาไปเที่ยวชมสถานที่สำคัญของจังหวัดพระนครศรีอยุธยากว่า 10 แห่ง สามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมที่การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สำนักงานพระนครศรีอยุธยา


เส้นทางกรุงเทพ-ฉะเชิงเทรา
รฟท. จัดหัวรถจักรไอน้ำขบวนพิเศษนำเที่ยวไปสัมผัสเสน่ห์เมืองแปดริ้ว “กรุงเทพ-ชุมทางฉะเชิงเทรา-กรุงเทพ” โดยขบวนรถไฟออกจากสถานีกรุงเทพ (หัวลำโพง) เวลา 08.10 น. เที่ยวกลับ รถไฟออกจากสถานีฉะเชิงเทรา เวลา 16.30 น. ถึงสถานีกรุงเทพ (หัวลำโพง) เวลา 18.10 น. ระหว่างเส้นทางจะหยุดรับ-ส่งผู้โดยสารที่สถานีมักกะสัน คลองตัน และหัวหมาก นักท่องเที่ยวสามารถขึ้นและลงตามสถานีดังกล่าวได้
ประวัติศาสตร์ของเมืองฉะเชิงเทรา ในปี 2377 พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวให้ย้ายที่ว่าการเมืองฉะเชิงเทราจากเดิมตั้งอยู่ที่วัดปากน้ำโจ้โล้ มาสร้างป้อมกำแพงเมืองใหม่ที่บ้านท่าไข่ แขวงเมืองฉะเชิงเทรา เพื่อเป็นปราการป้องกันเมืองหลวงและแสดงอาณาเขตเมือง
เมื่อขบวนหัวรถจักรไอน้ำเดินทางถึงฉะเชิงเทรา นักท่องเที่ยวสามารถเรียกรถสองแถวหรือรถตุ๊กตุ๊กบริเวณหน้าสถานีชุมทางฉะเชิงเทราได้ตามอัธยาศัย สายบุญและสายมูเตลูนั่งไปไหว้พระขอพรในสถานที่สำคัญเพื่อเสริมมงคลชีวิต เช่น พระพิฆเนศปางยืน ณ เทวสถานอุทยานพระพิฆเนศคลองเขื่อน พระอุโบสถสีทองที่วัดปากน้ำโจ้โล้ สักการะพระนอนกระจก กราบหลวงพ่อโต วัดเทพนิมิต วัดจีนประชาสโมสร (หากเดินทางเที่ยวแต่ละแห่ง คำนวณเวลาการเดินทางเพื่อกลับมาให้ทันรถไฟขบวนขากลับในเวลา 16.30 น. ด้วย)

ส่วนสายชอป สายชิลล์ พาตัวเองไปกินเที่ยว ชอปปิงที่ 4 ตลาดโบราณของชาวฉะเชิงเทรา ได้แก่ ตลาดบ้านใหม่ 100 ปี (ชมวิถีชีวิตย้อนยุค ชิมอาหารอร่อย ซื้อของฝาก เป็นที่รวบรวมอาหารรสเด็ดของเมืองแปดริ้ว) ที่นี่ยังเป็นสถานที่ถ่ายทำภาพยนตร์และละครยอดนิยมหลายเรื่องด้วย อีกแห่งคือตลาดโบราณนครเนื่องเขต มีลำคลองพาดผ่านกลาง จุดเด่นเป็นบ้านไม้เรือนแถวของตลาดที่ยังคงสภาพน่าเดินชม ส่วนชุมชนตลาดเก่าคลองสวน 100 ปี จังหวัดฉะเชิงเทรา ขึ้นชื่อร้านอาหารอร่อยในตำนาน รวมไปถึงตลาดน้ำบางคล้า งดงามด้วยทัศนียภาพริมฝั่งแม่น้ำบางปะกงและธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์ของป่าชายเลน ทำให้มีกิจกรรมพิเศษในตลาดน้ำ คือ เรือเช่าชมเกาะลัด (เกาะน้ำจืด) ให้บริการนักท่องเที่ยวคนละ 60 บาท เหมาลำ 2,900 บาท/เที่ยว (สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม โทร. 0 3854 1027
สำหรับนักท่องเที่ยวสายคาเฟ่ เมืองแปดริ้วมีคาเฟ่หลากหลายสไตล์ให้หลบไปนั่งพักผ่อน จิบกาแฟหรือเครื่องดื่มเย็น ๆ ชิลล์ ๆ อาทิ Woody Haus Café สไตล์โฮมมี่ Floriva Café บรรยากาศร่มรื่นริมแม่น้ำบางปะกง และยังมี Cactus.morning คาเฟ่ลึกลับในเมืองแปดริ้วที่สามารถเดินชมสวนแคคตัสได้
นอกจากขบวนหัวรถจักรไอน้ำ 6 ขบวนพิเศษเพื่อโอกาสพิเศษในแต่ละปีแล้ว รฟท. ยังเปิดอีกหลายเส้นทางท่องเที่ยวพร้อมจัดทำโปรแกรมนั่งรถไฟเที่ยวได้ทั่วไทยเพื่อสัมผัสประสบการณ์ใหม่ ๆ มุมมองใหม่ ๆ ในการเดินทางกับ 30 เส้นทางยอดฮิต โดยสามารถติดตามกิจกรรมที่น่าสนใจได้ในทุกช่องทางของการรถไฟแห่งประเทศไทย


Travel Guide
สามารถจองตั๋วล่วงหน้าที่สถานีรถไฟทุกแห่งหรือผ่านระบบ D-Ticket
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ ศูนย์บริการลูกค้าสัมพันธ์ โทร. 1690 ตลอด 24 ชั่วโมง
www.railway.co.th
เฟซบุ๊ก: ทีมพีอาร์การรถไฟแห่งประเทศไทย