
Cuba - A Symphony of Salsa, Vintage Cars and Colonial Charm ย้อนกลับยุค 50s สู่คิวบา สัมผัสเสน่ห์กลิ่นอายโคโลเนียลและสีสันแห่งวิถีถิ่น
นิตยสาร Trust ฉบับที่ 70 | คอลัมน์ Horizon

รูปแบบสถาปัตยกรรมหลากหลายท่ามกลางกลิ่นอายยุค 50s รถยนต์โบราณยังสัญจรบนท้องถนน ผู้คนเปี่ยมมิตรไมตรี จังหวะเสียงเพลงสนุกสนานบรรเลงตามหัวมุมถนน วัฒนธรรมการเต้นซัลซา และโซเชียลคลับยามค่ำคืนที่ไม่เคยร้างราผู้คน คือเสน่ห์เฉพาะตัวของ ‘สาธารณรัฐคิวบา (Republic of Cuba)’ ที่ทำให้เหล่านักเดินทางใฝ่ฝันอยากไปเยือนสักครั้ง
คิวบาเป็นเกาะที่ใหญ่ที่สุดในกลุ่มประเทศแคริบเบียน ตั้งอยู่บริเวณทะเลแคริบเบียนตอนเหนือ มหาสมุทรแอตแลนติก และอ่าวเม็กซิโก มาบรรจบกัน ณ ทวีปอเมริกาเหนือ มีความหลากหลายทางชาติพันธุ์และวัฒนธรรมประเพณี เริ่มมาตั้งแต่ชนเผ่าพื้นเมืองตั้งแต่ยุคล่าอาณานิคมในศตวรรษที่ 15 การได้รับอิทธิพลจากทาสชาวแอฟริกัน การตกเป็นอาณานิคมของสเปน การอยู่ภายใต้อาณัติของสหรัฐอเมริกา รวมไปถึงความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับสหภาพโซเวียตในยุคสงครามเย็น
บรรยากาศส่งท้ายช่วงไตรมาสปลายปี นิตยสาร TRUST ขออาสาพาคุณผู้อ่านไปเยือนเกาะแห่งนี้ด้วยกัน เชื่อว่าอัตลักษณ์ของคิวบาจะกระตุ้นจิตวิญญาณนักเดินทางของหลายคนให้เกิดความรู้สึกอยากออกไปเยือนโลกกว้าง ณ อีกซีกโลก เพื่อสัมผัสความน่าหลงใหลเฉพาะตัวของคิวบาที่จะสร้างความตราตรึงใจอย่างยาวนาน
Havana: Where the Rhythm Never Sleeps
‘กรุงฮาวานา (Havana)’ หรืออ่านออกเสียงว่า ‘อาบานา’ แบบภาษาสเปนซึ่งเป็นภาษาราชการของที่นี่ คือหัวใจสำคัญของคิวบา เพราะไม่ใช่แค่เมืองหลวงแต่ยังเป็นเมืองท่าสำคัญและศูนย์กลางเศรษฐกิจ รวมทั้งยังเป็นนครที่มีพื้นที่ใหญ่ที่สุดและมีจำนวนประชากรมากที่สุดในภูมิภาคแคริบเบียน ในยุคปัจจุบันสามารถแบ่งฮาวานาออกได้เป็นสามย่านหลัก ๆ ได้แก่ ย่านเมืองเก่า ย่านธุรกิจเวดาโด (Vedado) และย่านชานเมืองใหม่
ย่านเมืองเก่าหรือที่ชาวท้องถิ่นเรียกว่า ‘ลาฮาวานาเวียฮา (La Havana Vieja)’ มีอายุกว่า 500 ปี ก่อตั้งโดยชาวสเปน ในทำเลใกล้ท่าเรือ ตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 16 ได้ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกของยูเนสโกเมื่อปี 1982 โดยในพื้นที่ราวแปดตารางกิโลเมตรของย่านนี้ ประกอบด้วย อาคารประวัติศาสตร์จากสถาปัตยกรรมช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 16-19 โดดเด่นด้วยโครงสร้างอาณานิคมสเปน โบสถ์บาโรก (Baroque) อย่าง ‘มหาวิหารฮาวานา (Havana Cathedral)’ อันเก่าแก่ สิ่งปลูกสร้างสไตล์นีโอคลาสสิก (Neoclassical) รวมถึงอาคารบ้านเรือนที่เรียบง่ายกว่าในเขตชานเมือง
หนึ่งในอาคารที่ควรค่าแก่การเยี่ยมชมคือ ‘รัฐสภาฮาวานา (National Capitol of Cuba)’ มีความละม้ายอาคารรัฐสภาของสหรัฐอเมริกา (The United States Capitol) สร้างเสร็จเมื่อปี 1929 ทำหน้าที่เป็นรัฐสภาของคิวบาอยู่ 30 ปี ก่อนการปฏิวัติปี 1959 และหลังจากผ่านช่วงเวลาแห่งความรกร้างมานานก็ได้รับการบูรณะครั้งใหญ่ในปี 2013 ปัจจุบันเป็นที่ตั้งของสถาบันวิทยาศาสตร์ ส่วนอีกฝั่งถนนจะมีบ้านเรือนเก่าแก่หลากเฉดสีตั้งเรียงราย และมีรถยนต์จากยุค 50s แล่นไปมาเป็นฉากหน้าที่สวยงามและมีเสน่ห์อย่างยิ่ง
หากต้องการเก็บภาพความคึกคักของย่านเมืองเก่า แนะนำ ‘คาเย โอบิสโป (Calle Obispo )’ ถนนคนเดินที่เต็มไปด้วยแกลเลอรี ร้านค้า และบาร์ดนตรี ส่วนทางเดินสายที่สวยที่สุดคือ ‘มาเลกอน (Malecón)’ ที่เลียบชายฝั่งไปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ จากทางเข้าท่าเรือจนถึง ‘แม่น้ำอัลเมนดาเรส (Almendares River)’ เป็นระยะทางยาวเจ็ดกิโลเมตรที่เปี่ยมด้วยจิตวิญญาณของเมือง เพราะเป็นทั้งสถานที่ทำกิจกรรมและพักผ่อนหย่อนใจ



Recommended Activity
สำหรับผู้สนใจกิจกรรมสนุก ๆ และทำความรู้จักผู้คนท้องถิ่น แนะนำคลาสเต้นรำที่ ‘ลาคาซ่า เดล ซัน (La Casa del Son)’ โรงเรียนสอนเต้นรำที่สอนจังหวะการเต้นแบบดั้งเดิมของคิวบา ไม่ว่าจะเป็น ซัลซา รุมบา และชะชะช่า เพื่อช่วงเวลาที่เพลิดเพลินพร้อม ๆ กับการทำความรู้จักวัฒนธรรมเมือง
Highlight of the Trip
กิจกรรมห้ามพลาดสะท้อนวิถีชีวิตสุดชิลล์และสนุกสนานของชาวคิวบา นั่งรถคลาสสิกชมเมือง ที่มีบริการมากมายในฮาวานาหรือเมืองอื่น ๆ ทั้งแบบทัวร์ชมเมืองสองชั่วโมง หรือทัวร์ระหว่างเมืองแบบไปกลับ 10 ชั่วโมง หรือแม้แต่ทัวร์หลายเมืองที่ใช้เวลาอย่างน้อย 4 วัน โดยเลือกแบบมีคนนำเที่ยวหรือไม่มีก็ได้ การได้ปล่อย Joy กับทริปสุดชิลล์ในรถคลาสสิกสวย ๆ สามารถแวะใช้เวลาแต่ละจุดพักได้ตามพอใจ ช่วยเสริมความรื่นรมย์ระหว่างการทำความรู้จักคิวบาแบบละเลียดและลึกซึ้งได้เป็นอย่างดี
ท่องราตรีวิถีคนท้องถิ่น มาคิวบาทั้งทีต้องได้มีโอกาสชมโชว์เต้นรำ และการแสดงดนตรีสดแบบคิวบาแท้ ๆ พร้อมดินเนอร์และค็อกเทลรสดี แนะนำหนึ่งในคลับที่มีชื่อเสียงของฮาวานา ‘เลเจนดาริโอส เดล กัวจิริโต้ (Legendarios del Guajirito)’ ที่เหล่านักท่องเที่ยวพร้อมใจกันยกให้เป็นสุดยอดทั้งเรื่องดนตรี การแสดง อาหาร และเครื่องดื่ม ท่ามกลางบรรยากาศสุดคึกคัก ที่บรรดาศิลปินและเหล่าเอนเทอร์เทนเนอร์เปี่ยมพลังในการร้อง เล่น เต้นรำกันอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย นำพาผู้มาเยือนเดินทางเข้าไปสู่จิตวิญญาณของดนตรีท้องถิ่นได้ถึงใจกลางความบันเทิงแบบฉบับคิวบา และหากคุณรู้สึกสนุกมากกว่าจะเป็นเพียงแค่ผู้ชม ก็สามารถขึ้นไปเต้นรำกับเหล่านักเต้นบนเวทีได้เช่นกัน
Vinales Valley: A Time Capsule of Cuban Culture and Natural Beauty
อีกหนึ่งสถานที่ควรค่าแก่การไปเยือน คือ ที่ราบกลางหุบเขาวีญาเลส ซึ่งสามารถเดินทางไปกลับจากฮาวานาได้ ตั้งอยู่ท่ามกลาง ‘เทือกเขาเซียร์รา เดอ ลอส ออร์กานอส (Sierra de los Órganos)’ ทางทิศตะวันตกของประเทศ ที่นี่คือแหล่งบรรจบของความมหัศจรรย์ทางธรรมชาติและมรดกทางวัฒนธรรม โดดเด่นด้วยภูมิทัศน์แบบคาสต์ (Karst Landscape) มีหน้าผาหินปูนที่สูงชันสลับกับแอ่งหลุมยุบที่มีรูปร่างและขนาดต่าง ๆ กัน หนึ่งในความงามขึ้นชื่อ คือ ‘โมโกเตส (Mogotes)’ หินปูนรูปโดมสูงตระหง่าน 300 เมตร ผืนดินที่อุดมสมบูรณ์และสภาพอากาศที่เอื้ออำนวยของหุบเขา ได้ส่งเสริมการเกษตรแบบดั้งเดิมมานานหลายศตวรรษ โดยเฉพาะการปลูกยาสูบ จึงมีชื่อเสียงทั่วโลกในฐานะที่เป็นแหล่งเพาะปลูกใบยาสูบที่ใหญ่ที่สุดและดีที่สุดในโลก
ที่ราบกลางหุบเขาวีญาเลสเปี่ยมด้วยความงดงามทางธรรมชาติ วิถีเกษตรกรรมเก่าแก่ และวัฒนธรรมดั้งเดิม มีรูปแบบสถาปัตยกรรมเรียบง่ายของหมู่บ้าน สะท้อนประวัติศาสตร์จากอิทธิพลของหลากหลายเชื้อชาติ ทั้งชนพื้นเมือง ชาวสเปน และทาสชาวแอฟริกา ที่นี่ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกของยูเนสโกในปี 1999

Trinidad: An Authentic Colonial Splendour
ห่างจากฮาวานาลงไปทางใต้ราว 5 ชั่วโมงโดยรถยนต์ คือ เมืองสีพาสเทล ‘ตรินิแดด’ ที่ตั้งอยู่ตอนกลางของคิวบา ที่สืบย้อนประวัติไปได้ถึงศตวรรษที่ 16 และในทศวรรษที่ 50 อดีตผู้นำเผด็จการ จอมพลฟุลเฮนซิโอ บาติสตา (Fulgencio Batista) ได้ประกาศให้อนุรักษ์เมืองนี้ไว้ ต่อมาในปี 1988 ตรินิแดดก็ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกของยูเนสโก ด้วยความงามจำเพาะแบบเมืองอาณานิคม ตรินิแดดเปี่ยมชีวิตชีวาด้วยสถาปัตยกรรมเฉดสีสวย เหมาะแก่การเดินสำรวจอย่างแช่มช้าไปตามถนนหินลูกเต๋า (Cobblestone Street) แวะ Plaza Mayor จัตุรัสอันคึกคัก ศูนย์กลางของหัวใจแบบอาณานิคมของตรินิแดด และเยี่ยมชม ‘พิพิธภัณฑ์โรแมนติก (Museo Romántico’ อาคารเก่าแก่สีเหลือง สร้างในช่วงต้นศตวรรษที่ 19 จัดแสดงของสะสมของเหล่าตระกูลที่เคยร่ำรวยในตรินิแดด รวมทั้งชมความงามของ ‘โบสถ์พระตรีเอกภาพ (Church of Holy Trinity)’

Cienfuegos: A Hidden Gem of Colonial Charm and French Flair
มนต์เสน่ห์อันแตกต่างของ ‘เซียงฟวยโกส (Cienfuegos)’ ที่ตั้งอยู่ระหว่างฮาวานาและตรินิแดด เกิดจากสถาปัตยกรรมสไตล์อาณานิคมผสมสไตล์ฝรั่งเศส เพราะมีชาวฝรั่งเศสเข้ามาตั้งถิ่นฐาน ทำให้ที่นี่แตกต่างจากจุดหมายปลายทางอื่น ๆ ในภูมิภาคแคริบเบียน หากเทียบกับเมืองใหญ่อื่น ๆ ในคิวบา เซียงฟวยโกสเป็นเมืองใหญ่ที่ค่อนข้างอายุน้อย แม้ว่าคริสโตเฟอร์ โคลัมบัส (Christopher Columbus) จะสำรวจอ่าวเซียงฟวยโกสระหว่างการเดินทางรอบโลกครั้งที่สอง แต่เมืองก็ไม่ได้ถูกก่อตั้งขึ้น จนกระทั่งกลางศตวรรษที่ 17
ในปี 2005 ที่นี่ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกของยูเนสโก เนื่องจากความงามโดดเด่นทางสถาปัตยกรรม ไม่ว่าจะเป็นสไตล์นีโอคลาสสิกของมหาวิหารเซียงฟวยโกส (Cienfuegos Cathedral) และที่ว่าการรัฐบาล (Palacio de Gobierno) หรือโรงละครโทมัส เทอร์รี่ (Tomas Terry Theater) ในสไตล์ฝรั่งเศสและอิตาเลียน เซียงฟวยโกสเหมาะสำหรับใช้เวลา 2-3 วัน เพื่อผ่อนคลายกับบรรยากาศสบาย ๆ ชมความงามของสิ่งปลูกสร้างต่าง ๆ


Santiago de Cuba: The Cuba’s Largest City
บริเวณใต้สุดของเกาะคิวบาเป็นที่ตั้งของ ‘ซันติอาโก เดอ คิวบา (Santiago de Cuba)’ เมืองใหญ่อันดับสองของประเทศ เปี่ยมด้วยความสำคัญทางวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์ หลังจากก่อตั้งในปี 1515 เมืองนี้ถูกไฟไหม้และถูกสร้างขึ้นใหม่ รวมถึงการก่อสร้างมหาวิหารแห่งแรกของเมือง และได้กลายเป็นเมืองหลวงแห่งแรกของคิวบาในยุคอาณานิคมของสเปน
อดีตและปัจจุบันของซันติอาโก เดอ คิวบา สอดคล้องเป็นเรื่องราวที่เติมเต็มกันและกัน สถาปัตยกรรมของเมืองเป็นการผสมผสานระหว่างสถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์ อาคารสร้างใหม่ และมรดกโลกของยูเนสโก เช่น ป้อมปราการซาน เปโดร เดอ ลา โรคา (Castillo del Morro San Pedro de la Roca) ซึ่งยูเนสโกยกย่องว่าเป็น ‘ตัวอย่างที่สมบูรณ์และได้รับการอนุรักษ์ไว้อย่างดีที่สุดของสถาปัตยกรรมทางทหารแบบสเปน-อเมริกา ที่อิงตามหลักการออกแบบแบบอิตาลีและยุคฟื้นฟูศิลปวิทยา (Renaissance)’
ใจกลางเมืองของซันติอาโก เดอ คิวบา คือ ‘ปาร์เก เซสเปเดส (Parque Cespedes)’ จัตุรัสที่รวมสถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์มากมาย รวมถึง ‘มหาวิหารซันติอาโก เดอ คิวบา (Catedral de Nuestra de Senora de la Asuncion)’ โบสถ์แห่งแรกของเมืองที่ปลูกสร้างในสไตล์บาโรก หากต้องการสัมผัสชีวิตแบบผู้คนในท้องถิ่น แนะนำการไปเยี่ยมชมสองข้างทางของ ‘กัลเล่ เฮเรเดีย (Caller Heredia)’ ถนนสายหลักใจกลางเมืองที่เผยวิถีชีวิตแบบคิวบาแท้ ๆ ผ่านการประกอบอาชีพ การดำเนินชีวิต อาหารการกิน รวมไปถึงแสงสียามค่ำคืน ในอดีตเมืองหลวงแห่งนี้ ยังเป็นหมุดหมายสำคัญทางเศรษฐกิจของประเทศ เมื่อดอน ฟาคุนโด บาคาร์ดี (Don Facundo Bacardi) ได้ก่อตั้งโรงงานเหล้ารัมแห่งแรกที่นี่ เขาได้ปรับปรุงขั้นตอนการผลิตที่มีเทคนิคเฉพาะจนกลายเป็นเครื่องหมายการค้าของเหล้ารัมบาคาร์ดี (Bacardi Rum) ที่กลายเป็นหนึ่งในเครื่องดื่มยอดนิยมในปัจจุบัน
คิวบาไม่ใช่แค่จุดหมายปลายทาง แต่เป็นประสบการณ์การเดินทางผ่านกาลเวลา ที่นี่จะโอบกอดผู้มาเยือนด้วยสถาปัตยกรรมอันงดงาม สีสันอันเปี่ยมชีวิตชีวา และน้ำใจไมตรีของผู้คนในท้องถิ่น สิ่งเหล่านี้จะทำให้มนต์เสน่ห์ของเกาะที่ใหญ่ที่สุดในภูมิภาคแคริบเบียนแห่งนี้ ตราตรึงในความทรงจำอีกแสนนาน

