
A Season of Swiss Splendour ดื่มด่ำมนต์เสน่ห์ฤดูหนาวที่สวิตเซอร์แลนด์
นิตยสาร Trust ฉบับที่ 74 | คอลัมน์ Horizon
หากเอ่ยถึงประเทศที่ขึ้นชื่อเรื่องความตระการของทัศนียภาพทางธรรมชาติท่ามกลางบรรยากาศสุดแสนโรแมนติกในทวีปยุโรป ‘สวิตเซอร์แลนด์’ ย่อมเป็นชื่อแรก ๆ ที่ผุดขึ้นในห้วงความคิดของเหล่านักเดินทางสายธรรมชาติ ที่ไม่ว่าจะเป็นฤดูกาลใด ประเทศเล็ก ๆ บนพื้นที่เพียง 41,290 ตารางกิโลเมตรแห่งนี้ ซึ่งตั้งอยู่ระหว่าง ‘เทือกเขาแอลป์ของสวิส (Swiss Alps)’ ‘ที่ราบสวิส (Swiss Plateau)’ และ ‘เทือกเขาจูรา (Jura Mountains) ก็ยังคงเปี่ยมไปด้วยความงดงามและเสน่ห์เฉพาะตัวของแต่ละช่วงเวลา ที่ส่งพลังดึงดูดใจผู้คนจากทั่วโลกให้เดินทางมาเยือนอย่างไม่ขาดสาย
เช่นเดียวกับช่วงที่สวิตเซอร์แลนด์ย่างเข้าสู่ฤดูหนาว อุณหภูมิที่ลดต่ำลงและหิมะขาวโพลนที่ปกคลุมยอดเขาสูงตระหง่านของเทือกเขาแอลป์ ได้เนรมิตให้สวิตเซอร์แลนด์กลายเป็นดินแดนแห่งความมหัศจรรย์ที่เหมาะอย่างยิ่งสำหรับการปล่อยใจไปกับความสุขสันต์ในช่วงเทศกาลเฉลิมฉลองผ่านกิจกรรมต่าง ๆ ที่ล้วนสร้างประสบการณ์อันเป็นเอกลักษณ์
นี่คือ…อีกหนึ่งการเดินทางครั้งสำคัญท่ามกลางความหนาวเย็นที่จุดประกาย ‘ความสุข’ ประจำปีให้ยิ่งตราตรึง และเกิดเป็นความทรงจำดี ๆ ที่จะมอบความอบอุ่นในจิตใจอย่างยาวนานอีกครั้ง
Christmas Vibe in Zurich
จากเมืองเศรษฐกิจและศูนย์กลางการเงินระดับโลก เมื่อเข้าสู่ช่วงปลายเดือนพฤศจิกายนเป็นต้นไป ตลาดคริสต์มาสจำนวนมากที่กระจายตัวอยู่ทั่วเมืองจะแปลงโฉม ‘ซูริก (Zurich)’ ให้กลายเป็นดินแดนแห่งเทพนิยายที่อบอวลไปด้วยกลิ่นอายของเทศกาลแห่งความสุข
ในเมื่อเที่ยวบินจำนวนมากจากประเทศไทยลงจอดที่นี่ Horizon ฉบับนี้ จึงขอเชิญชวนเริ่มต้นวันหยุดส่งท้ายปีด้วยการเยี่ยมชมตลาดคริสต์มาสตามมุมเมืองต่าง ๆ ของซูริก โดยเริ่มต้นที่ตลาดคริสต์มาส ‘เดิร์ฟลี (Christmas Market Dörfli)’ ที่เก่าแก่ที่สุดของซูริกในย่าน ‘นีเดอร์ดอร์ฟ (Niederdorf)’ ตั้งอยู่ใจกลางเมืองเก่าระหว่าง ‘เซ็นทรัล (Central)’ และ ‘โกรสมึนส์เตอร์ (Grossmünster)’ ในบรรยากาศที่เปี่ยมเสน่ห์ของสีสันแห่งความสนุกสนาน
ส่วน ‘คริสต์คินด์ลิมาร์คท์ (Christkindlimarkt)’ ที่ ‘สถานีรถไฟซูริก (Zurich Main Station)’ เป็นหนึ่งในตลาดคริสต์มาสในร่มที่ใหญ่ที่สุดในยุโรป ด้วยจำนวนร้านค้า 120 ร้าน โดยมีไฮไลต์ คือ ต้นคริสต์มาสสูง 10 เมตร (32 ฟุต) ที่ตกแต่งอย่างงดงามตระการตา
สำหรับ ‘วีนาคท์สดอร์ฟ (Wienachtsdorf)’ หรือหมู่บ้านคริสต์มาสที่ ‘เซคเซอลอยเทินพลัทซ์ (Sechseläutenplatz)’ หน้าโรงอุปรากร เป็นหนึ่งในตลาดที่ใหญ่ที่สุดของเมืองที่มีร้านค้ากว่า 100 ร้าน พร้อมฉากหลังอันงดงามของโรงอุปรากร สามารถชิมอาหารนานาชาติและอาหารสวิสแบบดั้งเดิมได้ที่นี่
ไปตลาดคริสต์มาสกันต่อที่ ‘แวร์ดมูห์เลอพลัทซ์ (Werdmühleplatz)’ ใกล้ ‘บาห์นฮอฟชตราสเซอ (Bahnhofstrasse)’ มีเอกลักษณ์พิเศษคือ ‘ต้นคริสต์มาสร้องเพลง (Singing Christmas Tree)’ โดยคณะนักร้องประสานเสียงท้องถิ่นจะขึ้นร้องเพลงบนเวทีรูปต้นคริสต์มาสขนาดใหญ่ เพื่อขับกล่อมเพลงคริสต์มาสทุกวัน ตลอดระยะเวลาของเทศกาล
แน่นอนว่า ทุกตลาดมีเครื่องดื่มอุ่น ๆ อันเป็นเอกลักษณ์ประจำเทศกาล ทั้งพันช์ (Punch) สำหรับเด็ก ๆ หรือกลูไวน์ (Glühwein) สำหรับผู้ใหญ่ และอาหารจานร้อนอย่างราเคล็ตต์ (Raclette) หรือฟองดู (Fondue) โดยปัจจุบันทุกตลาดในซูริกนั้น ใช้ระบบ Cashless Payment จึงไม่จำเป็นต้องแลกเงินสดฟรังก์สวิส และสามารถจับจ่ายได้อย่างสะดวกผ่านบัตรเครดิต
Boat Cruise in Lake Luzern
จากซูริกเดินทางไปยัง ‘ลูเซิร์น (Luzern)’ อย่างง่ายดายเพียงหนึ่งชั่วโมงด้วยรถไฟ โดยมีจุหมายอยู่ที่ท่าเรือลูเซิร์นซึ่งตั้งอยู่ใจกลางเมือง ตรงข้ามสถานีรถไฟลูเซิร์นที่โด่งดังเรื่องเมืองเก่าและ ‘ทะเลสาบลูเซิร์น (Lake Luzern)’ หนึ่งในทะเลสาบที่งดงามที่สุดของสวิตเซอร์แลนด์ ซึ่งเหมาะอย่างยิ่งแก่การล่องเรือชมธรรมชาติ ดื่มด่ำกับทิวทัศน์ฤดูหนาวกับยอดเขาที่ปกคลุมด้วยหิมะสะท้อนบนผิวน้ำ ท่ามกลางบรรยากาศเงียบสงบเพราะมีนักท่องเที่ยวบางตากว่าฤดูกาลอื่น ๆ
เวลาหนึ่งชั่วโมงกับการล่องเรือแบบพาโนรามิกครูซ (Panoramic Cruise) ในทะเลสาบลูเซิร์นมีรูปร่างคล้ายฟยอร์ด (Fjord) ที่คดเคี้ยวผ่านหุบเขาและหมู่บ้านน่ารัก ทำให้เห็นภูมิทัศน์ในมุมที่หลากหลาย ‘ยอดเขาพิลาทุส (Pilatus)’ และ ‘ริกิ (Rigi)’ ที่ปกคลุมด้วยหิมะขาวโพลนทอดเป็นฉากหลังอันงดงาม แนะนำล่องเรือเที่ยวตอนเช้าเพื่อชมแสงแดดอ่อน ๆ ส่องกระทบหิมะบนยอดเขา สร้างประกายระยิบระยับบนผิวน้ำสีน้ำเงินเข้ม
จากนั้นเปลี่ยนบรรยากาศเป็นการเดินชมเมือง เริ่มจากเดินข้ามทะเลสาบด้วยชาเปลบริดจ์ (Chapel Bridge หรือ Kapellbrücke) สะพานไม้ที่มีหลังคาซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของเมือง ช่วงเทศกาลคริสต์มาสจะมีการประดับไฟรอบ ๆ มีตลาดคริสต์มาสที่ ‘ฟรานซิสคาเนอร์พลัทซ์ (Franziskanerplatz)’ ใจกลางเมืองเก่า ไฮไลต์คือวงแหวนแอดเวนต์ (Advent Wreath) ขนาดใหญ่ที่มีเส้นผ่านศูนย์กลางกว่า 3 เมตร ตั้งอยู่บนน้ำพุ ‘ฟรานซิสคาน (Franciscan Fountain)’ ประดับด้วยไฟนับร้อยดวงและเทียนสูง 4 เมตร
นอกจากนี้ ยังมี ‘เทศกาลไอซ์ แมจิก ลูเซิร์น (Ice Magic Luzern)’ ที่ ‘ยูโรพาพลัทซ์ (Europaplatz)’ ซึ่งถูกเปลี่ยนพื้นที่เป็นลานสเกตน้ำแข็งที่มีวิวทะเลสาบและเทือกเขา พร้อมซุ้มอาหารฤดูหนาว เปิดให้บริการทุกวันในช่วงเทศกาลคริสต์มาส
The Alpine Spa in Scuol
จุดหมายต่อไปคือ ‘สกูออล-ทาราสป์ (Scuol-Tarasp)’ ในหุบเขา ‘แองกาดินตอนล่าง (Lower Engadin)’ ซึ่งจะใช้เวลาราวสองชั่วโมงครึ่งจากซูริก เพื่อสัมผัสประสบการณ์สปาที่บ่อน้ำแร่แองกาดิน (Bogn Engiadina) อันโด่งดัง
ที่นี่ไม่ใช่สปาธรรมดา แต่เป็นประสบการณ์การแช่น้ำแร่แบบโรมัน-ไอริช (Roman-Irish Bath) ที่ผสมผสานประเพณีการอาบน้ำโบราณกับสิ่งอำนวยความสะดวกทันสมัย สปาแห่งนี้มีสระน้ำในร่มและกลางแจ้ง 6 สระ อุณหภูมิตั้งแต่ 16-37 องศาเซลเซียส เพื่อการแช่ตัวในน้ำอุ่น ๆ ขณะที่หิมะโปรยปรายรอบตัว พร้อมวิวเทือกเขาแองกาดินที่ปกคลุมด้วยหิมะ
สำหรับไฮไลต์ของที่นี่ คือ สระพาโนรามา (Panorama Pool) กลางแจ้งอุณหภูมิ 34 องศาเซลเซียส สระน้ำเกลือ (Salt Water Pool) เข้มข้น 2% ช่วยผ่อนคลายกล้ามเนื้อ ขณะที่ถ้ำน้ำอุ่น (Warm Water Grotto) มีอุณหภูมิ 37 องศาเซลเซียส มอบความเป็นส่วนตัวสำหรับการพักผ่อนอย่างลึกซึ้ง หลังจากผ่อนคลายในสระต่าง ๆ พักผ่อนในห้องเคินซ์ (Könz Relaxation Room) ที่มีเตาผิงไฟสร้างบรรยากาศอบอุ่น มีศูนย์เวลเนส (Wellness Centre) ให้บริการนวดและทรีตเมนต์หลากหลายสำหรับผู้ที่ต้องการความผ่อนคลายเพิ่มเติม
St. Moritz’s The Alpine Village
เดินทางต่อสู่ ‘เซนต์มอริตซ์ (St. Moritz)’ เมืองตากอากาศระดับโลกที่ตั้งอยู่บนความสูง 1,856 เมตร ล้อมรอบด้วยยอดเขาหิมะและทะเลสาบเยือกแข็ง โดยรถไฟผ่าน ‘หุบเขาแองกาดิน (Engadin Valley)’ ด้วยระยะเวลาราวชั่วโมงครึ่ง ทิวทัศน์ระหว่างทางเปลี่ยนจากหุบเขาแองกาดินตอนล่างที่เขียวขจีสู่ ‘แองกาดินตอนบน (Upper Engadin)’ ที่กว้างใหญ่และเปิดโล่ง ผ่านหมู่บ้านเล็ก ๆ ที่ยังคงรักษาสถาปัตยกรรมแบบแองกาดินดั้งเดิมไว้
เสน่ห์ที่ของเมืองเซนต์มอริตซ์ คือ การผสมผสานวัฒนธรรมแองกาดินดั้งเดิมเข้ากับความสะดวกสบายของยุคปัจจุบัน เราจะยังเห็น ‘บ้านไม้สไตล์แองกาดิน (Engadin Houses)’ แท้ ๆ ที่ประดับหน้าต่างด้วยภาพวาดสกราฟฟิโต (Sgraffito) สีสันสดใส ขณะที่ ‘ถนนวิอา เซอร์ลาส (Via Serlas)’ มีร้านค้าแบรนด์หรูและคาเฟ่บรรยากาศอบอุ่นตั้งเรียงรายเชิญชวนให้แวะเที่ยวชม
กิจกรรมไฮไลต์ คือ การนั่งรถเลื่อนม้า (Horse-Drawn Sleigh) ผ่านหุบเขาแองกาดินเพื่อชมทิวทัศน์ตระการตา ขณะม้าลากเลื่อนผ่านป่าสนที่ปกคลุมด้วยหิมะไปตามทะเลสาบที่กลายเป็นน้ำแข็ง เส้นทางยอดนิยม คือ การเดินทางสู่ ‘วาล เฟ็กซ์ (Val Fex)’ หุบเขาที่เงียบสงบขณะที่เสียงกระดิ่งม้าดังกังวาน
The Most Magical Train Ride
แม้จะสามารถเดินทางได้ตลอดทั้งปี แต่ช่วงฤดูหนาวคือเวลาที่ ‘กลาเซียร์ เอกซ์เพรส (The Glacier Express)’ สายรถไฟยอดนิยมของสวิตเซอร์แลนด์แสดงความมหัศจรรย์ได้มากที่สุด จึงจัดเป็นที่สุดแห่งไฮไลต์ช่วงฤดูหนาวของสวิตเซอร์แลนด์ที่นักเดินทางไม่ควรพลาดเป็นอันขาด โดยเส้นทางรถไฟสายด่วนแห่งนี้ได้รับการขนานนามว่า ‘รถไฟด่วนที่ช้าที่สุดในโลก’ เพราะใช้เวลาแปดชั่วโมงในการเดินทางระหว่าง ‘เซนต์มอริตซ์ (St. Moritz)’ และ ‘เซอร์แมตต์ (Zermatt)’ ผ่านเส้นทางที่ต้องข้ามสะพาน 291 แห่ง ลอดอุโมงค์ 91 แห่ง และไต่ขึ้นสู่จุดสูงสุดที่ช่องเขา ‘โอเบอร์อัลป์ (Oberalp)’ ที่ความสูง 2,033 เมตร
ด้วยหน้าต่างพาโนรามาตลอดขบวนรถไฟที่ทอดยาวจากพื้นถึงเพดาน เปิดโอกาสให้ชื่นชมทิวทัศน์อันน่าทึ่งของเทือกเขาแอลป์ที่ปกคลุมด้วยหิมะ ผ่าน ‘ลันด์วาสเซอร์ (Landwasser Viaduct)’ สะพานรถไฟหินปูนสูงตระหง่านอันโด่งดัง และ ‘หุบเขาไรน์ (Rhine Gorge)’ ที่งดงามราวกับภาพวาด การเดินทางด้วยความเร็วที่ไม่เร่งรีบนี้ ทำให้ผู้โดยสารได้ดื่มด่ำกับความงามของธรรมชาติอย่างเต็มที่ ก่อนจะถึงเซอร์แมตต์ซึ่งเป็นปลายทางสุดท้ายในช่วงย่ำค่ำ
The Snowy Night with Fondue in Zermatt
‘เซอร์แมตต์ (Zermatt)’ เป็นหนึ่งหมู่บ้านปลอดรถยนต์ในสวิตเซอร์แลนด์ ตั้งอยู่เชิงเขาแมตเทอร์ฮอร์น (Matterhorn) ยอดเขาทรงพีระมิดอันโด่งดัง รอคอยต้อนรับนักท่องเที่ยวด้วยบรรยากาศสุดโรแมนติก อาคารไม้เก่าแก่หลายร้อยปีได้รับการปรับโฉมเป็นร้านค้า แว่วเสียงกระดิ่งม้าลากเลื่อน อากาศหนาวจัดแต่แสงไฟเรืองรองสร้างบรรยากาศอบอุ่น
นอกจากจะชื่นชมความงามเฉพาะตัวของที่นี่แล้ว สิ่งที่แนะนำอย่างยิ่งคือการรับประทานมื้อค่ำที่ร้านอาหารสวิสแบบดั้งเดิม เพื่อลิ้มลองฟองดู ‘ชีสกรูแยร์ (Gruyère)’ และ ‘วาเชอแร็ง ฟรีบูร์กัวส์ (Vacherin Fribourgeois)’ เสิร์ฟในหม้อดินเผา (Caquelon) ร้อน ๆ พร้อมขนมปังสดจากเตา แฮม มันฝรั่งต้ม ผักสด ผักดอง และผลไม้
เซอร์แมตต์ยังมีกิจกรรมมากมายให้นักเดินทางได้เพลิดเพลินกับบรรยากาศฤดูหนาว ไม่ว่าจะเป็น การนั่งรถไฟกอร์เนอร์กรัท (Gornergrat Train) ขึ้นไปชมวิวหิมะที่สวยงาม รถไฟจะผ่านหมู่บ้าน พื้นที่ป่า และเส้นทางสู่ยอดเขา หรือขึ้นกระเช้าไฟฟ้าเพื่อไปชม ‘กลาเซียร์ พาราไดซ์ (Matterhorn Glacier Paradise)’ จุดชมวิวที่สูงที่สุดในยุโรป
นอกจากจะได้ชื่นชมความตระหง่านของแมตเทอร์ฮอร์น แท่นชมวิวแห่งนี้ยังมองเห็นวิวพาโนรามาของยอดเขาสูงเกิน 4,000 เมตรถึง 38 ยอด และธารน้ำแข็ง 14 แห่ง ครอบคลุมพื้นที่ของสวิตเซอร์แลนด์ ฝรั่งเศส และอิตาลี ทางทิศเหนือจะเห็น ‘ไอเกอร์ เมินช์ และยุงเฟรา (Eiger, Mönch, Jungfrau)’ สามยอดเขาอันเป็นสัญลักษณ์แห่งทวีป ทางตะวันตกมองเห็น ‘มงบล็อง (Mont Blanc)’ ยอดเขาที่สูงที่สุดในยุโรป ขณะที่ทางตะวันออกคือหน้าผา ‘ไบรท์ฮอร์น (Breithorn)’ และในวันที่อากาศแจ่มใสยังสามารถมองเห็น ‘กรัน พาราดิโซ (Gran Paradiso)’ ในอิตาลีได้อีกด้วย
รวมทั้งมีกลาเซียร์ พาเลซ (Glacier Palace) ให้เดินชมภายในธารน้ำแข็ง ที่ตกแต่งด้วยประติมากรรมน้ำแข็งรูปสัตว์ต่าง ๆ เช่น หมาป่า มังกร และนก รวมถึงอุโมงค์น้ำแข็งที่สามารถเล่นสไลด์ได้ท่ามกลางอุณหภูมิติดลบ
จากตลาดคริสต์มาสที่คึกคักในซูริกสู่ความเงียบสงบของทะเลสาบลูเซิร์น ผ่านการแช่น้ำแร่ท่ามกลางหิมะที่สกูออล การเดินทางด้วยรถไฟที่ช้าที่สุดในโลก ไปจนถึงฟองดูมื้อค่ำใต้เงาแมตเทอร์ฮอร์น และการได้ชื่นชมทิวเขาสุดตระการตาของยุโรป ทุกช่วงเวลาล้วนสร้างความทรงจำอันแสนพิเศษที่จะทำให้การเยือนสวิตเซอร์แลนด์ในฤดูหนาว คือช่วงเวลาสุดมหัศจรรย์สำหรับการสร้างความทรงจำที่ดีร่วมกับครอบครัวและคนใกล้ชิด
Travel Tips
- อุณหภูมิช่วงฤดูหนาวในเมืองจะอยู่ที่ 0°C ถึง 5°C ส่วนบนภูเขาคือ -15°C ถึง -5°C
- สวมรองเท้ากันน้ำ เพราะพื้นถนนเปียกและมีหิมะละลาย
- ควรจองร้านอาหารล่วงหน้าสำหรับมื้อเย็นคริสต์มาส
- ตลาดคริสต์มาสปิดวันที่ 24 ธันวาคม
- รถไฟคือการเดินทางที่สะดวกและปลอดภัยที่สุด
- ควรซื้อ Swiss Travel Pass เพื่อการเดินทางไม่จำกัดเที่ยว แต่ยังคงต้องจองที่นั่งล่วงหน้า
- ในเดือนธันวาคมถึงมกราคม จะมีแสงสว่างราว 8-9 ชั่วโมง ดวงอาทิตย์ขึ้นราว 08.00 น. และตกไม่เกิน 17:00 น.




