file

Life in A Beautiful Freezer at “Greenland”

นิตยสาร Trust ฉบับที่ 51 | คอลัมน์ Horizon

ถ้าคุณเป็นอีกคนหนึ่งที่ประกาศตัวว่าเป็น “นักเดินทาง” มีสถานที่ 2 แห่งในโลก ที่ควรจะพาสองเท้าของตัวเองไปทาบลงบนแผ่นดินนั้น แห่งแรกคือขั้วโลกใต้และอีกแห่งคือขั้วโลกเหนือ

แต่ถ้าทั้ง 2 ที่นี้ไกลเกินฝัน เราขอแนะนำกรีนแลนด์ (Greenland) อีกทางเลือกหนึ่งที่จะพาตัวเองขยับเข้าใกล้ขั้วโลกเหนือได้ กรีนแลนด์ ตั้งอยู่ในเขตมหาสมุทรอาร์กติก ซึ่งถือว่าเป็นดินแดนเหนือสุดของโลก แต่สิ่งที่ผู้คนพูดถึงกรีนแลนด์มากที่สุด น่าจะเป็นเรื่องที่กรีนแลนด์เป็นเกาะใหญ่ที่สุดในโลก ก่อนจะเดินสายเที่ยวกรีนแลนด์ในมุมต่างๆ มาทำความรู้จักกับเกาะใหญ่ที่สุดในโลกแห่งนี้กันก่อน ประการแรก ขอให้รู้ไว้ก่อนเลยว่าชาวไวกิงเป็นกลุ่มซึ่งเข้ามาก่อร่างสร้างเมืองที่กรีนแลนด์เป็นกลุ่มแรก กรีนแลนด์ทุกวันนี้มีประชากรอยู่กันแบบหลวมๆ แค่ 5 หมื่นกว่าคนเท่านั้น

และทุกวันนี้หลายคนยังเข้าใจผิดคิดว่ากรีนแลนด์เป็นประเทศ ทั้งที่จริงแล้วไม่ใช่ประเทศ จริงอยู่อาจจะมีพื้นที่เยอะ แต่กรีนแลนด์เป็นแค่ดินแดนปกครองตนเองของประเทศเดนมาร์ก มีอำนาจในการปกครองตนเอง มีนายกรัฐมนตรีเป็นหัวหน้ารัฐบาล แต่ยังคงไม่มีอำนาจในด้านต่างประเทศและการทหารแต่อย่างใด

ทุกวันนี้พื้นที่กว่า 80% ของกรีนแลนด์ถูกปกคลุมไปด้วยน้ำแข็งตลอดทั้งปี เพราะตั้งอยู่ใกล้ขั้วโลกเหนือมาก แม้จะเป็นช่วงซัมเมอร์ในเดือนมิถุนายน - สิงหาคม ก็ยังคงมีน้ำแข็งหนาแน่นอยู่ แต่อุณหภูมิจะไม่หนาวชนิดกรีดเฉือนเลือดเนื้อเหมือนช่วงฤดูหนาวที่อาจจะติดลบมากกว่า 50 องศา

รู้จักกับกรีนแลนด์ไปคร่าวๆ แล้ว มาดูกันว่าถ้าจะไปกรีนแลนด์ มีมุมไหนบ้างที่น่าแวะไปเที่ยว


Ilulissat

ถ้าจะมีมุมหนึ่งของกรีนแลนด์ที่ถือว่าเป็นฮอตสปอตสำหรับนักเดินทางก็น่าจะเป็นเมืองอิลลูลิสแซท เมืองที่จะทำให้นักท่องเที่ยวได้รู้จักกับกรีนแลนด์มากขึ้น เมืองนี้มีคนอยู่แค่ 4,000 กว่าคนเท่านั้น แต่ในชั้นเชิงของการท่องเที่ยวถือว่ามีครบทุกอย่างที่นักท่องเที่ยวต้องการ

ที่นี่เราสามารถเจอโรงแรม 4 ดาว ที่อวดวิวทิวทัศน์สวยๆ ของอิลลูลิสแซทได้เลย หรือใครอยากจะนอนโรงแรมแบบกลาส อิกลู (Glass Igloos) ที่เป็นกระจกใสมองเห็นท้องฟ้าและหมู่ดาวได้อย่างเต็มตาและถ้าใครโชคดีได้ไปช่วงที่สามารถเห็นแสงเหนือได้ ก็สามารถนอนดูแสงเหนือจากในกลาส อิกลูได้สบายๆ โดยไม่ต้องออกไปตากหนาวเลย

file
file

ในตัวเมืองอิลลูลิสแซทถือว่าค่อนข้างเจริญมีร้านค้า คาเฟ่ ร้านอาหาร และชอปปิงมอลล์ขนาดย่อมๆ ให้บริการด้วย ทั้งยังเต็มไปด้วยบ้านสีๆ สลับกันไป และมีโบสถ์ตั้งอยู่ริมทะเล ส่วนบริเวณท่าเรือก็คึกคักและมีชีวิตชีวามาก

ไฮไลต์น่าจะอยู่ที่อิลลูลิสแซท ไอซ์ฟยอร์ด (Ilulissat Icefjord) เป็นปากทางออกสู่ทะเลของธารน้ำแข็งเซอร์เมค คูยาลเลค (Sermeq Kujalleq) ยาวกว่า 70 กิโลเมตร ซึ่งเป็นหนึ่งในธารน้ำแข็ง 2 - 3 แห่ง ที่นำพาแผ่นน้ำแข็งกรีนแลนด์ (Greenland Ice Cap) ไหลลงสู่ทะเลเซอร์เมค คูยาลเลค ที่ทุกวันนี้ถูกขึ้นทะเบียนให้เป็นมรดกโลกทางธรรมชาติโดยองค์การยูเนสโก้ และเป็นสถานที่ที่มีการขุดพบหลักฐานทางประวัติศาสตร์อายุกว่า 4,000 ปี

ที่นี่จัดระบบสำหรับการเดินชมไอซ์ฟยอร์ดเอาไว้อย่างดี โดยทำเป็นสะพานไม้ทอดยาวให้นักท่องเที่ยวได้เดินเข้าไปใกล้กับก้อนน้ำแข็งและธารน้ำแข็ง ซึ่งพูดได้คำเดียวว่ามหึมาและอลังการมาก ราวกับเป็นประติมากรรมทางธรรมชาติอันยิ่งใหญ่

ยิ่งเดินเข้าไปใกล้ธารน้ำแข็งจะรู้เลยว่าที่นี่คือบ้านของธารน้ำแข็ง ต่อให้มีกระแสข่าวว่าน้ำแข็งที่กรีนแลนด์ละลายไปเยอะมาก แต่เมื่อได้เดินเท้าเข้าไปเห็น ธารน้ำแข็งเซอร์เมค คูยาลเลคด้วยสองตา ก็จะรู้เลยว่าธารน้ำแข็งแห่งนี้ยิ่งใหญ่เหลือเกิน

สำหรับใครที่มีเวลาลองเดินไปตามเส้นทางเดินเท้าที่จัดทำไว้ และเมื่อสุดสะพานไม้อาจต้องปีนป่ายไต่เขากันเล็กน้อยเพื่อขึ้นไปดูธารน้ำแข็งในมุมสูง

file

เมื่อชมเมืองอิลลูลิสแซท ไอซ์ฟยอร์ดกันเสร็จแล้วไฮไลต์อีกอย่างหนึ่งของอิลลูลิสแซท คือการล่องเรือออกไปไอซ์เบิร์กก้อนมหึมาที่วางตัวระเกะระกะอยู่ในทะเล เมื่อได้เห็นไอซ์เบิร์กที่นี่แล้ว ต้องบอกว่าไม่น่าจะเรียกว่าก้อนน้ำแข็งแต่ควรเรียกว่าภูเขาน้ำแข็งมากกว่า

เตรียมกล้องเอาไว้ให้ดีเชียวเพราะการออกมาล่องเรือไม่ได้แค่กินลมชมวิวเท่านั้น แต่ยังเป็นการตามหาวาฬหลังค่อม (Humpback Whales) ที่น่าสนุกมาก เพราะอิลลูลิสแซทถือว่าเป็นหย่อมย่านของการดูวาฬที่ง่ายดายมากและไม่ได้มีแค่วาฬหลังค่อมเท่านั้น แต่มีวาฬชนิดอื่นๆ อาศัยอยู่ถึง 15 สายพันธุ์ แทบจะเรียกได้ว่าเป็นการดูวาฬหลังค่อมที่ไม่ต้องลุ้นมากเหมือนดูที่อื่น เพราะแค่ล่องเรือไปไม่ทันไรก็เจอกับวาฬหลังค่อมหลายตัวแล้ว

สำหรับคนที่มีเวลาอยู่อิลลูลิสแซทหลายวันที่นี่มีกิจกรรมน่าสนุกอีกหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นนั่งสุนัขลากเลื่อน พายเรือคายัค หรือไม่ก็เดินไปตามเทรลต่างๆ ซึ่งมีให้เลือกหลายเส้นทาง


Kangerlussuaq

คังเกอร์ลุสซวกถือเป็นเมืองหน้าด่านของการเยือนกรีนแลนด์ก็ว่าได้ เพราะส่วนใหญ่เที่ยวบินจากโคเปนเฮเกน หรือไอซ์แลนด์สู่กรีนแลนด์ ส่วนใหญ่จะมาลงที่นี่

คังเกอร์ลุสซวกเป็นเมืองเล็กๆ มีผู้คนอาศัยอยู่แค่ 500 กว่าคน ที่นี่คือดินแดนแห่งทุ่งหญ้าทะเลสาบ ธารน้ำแข็ง และบางส่วนยังเป็นทะเลทราย เรียกได้ว่ามีภูมิทัศน์และภูมิประเทศค่อนข้างหลากหลาย และตัวเมืองคังเกอร์ลุสซวกอยู่ห่างจากอาร์กติก เซอร์เคิล (Arctic Circle) แค่ 50 กิโลเมตรเท่านั้น

หลังจากบินมาถึงคังเกอร์ลุสซวกนักท่องเที่ยวส่วนใหญ่จะมุ่งหน้าไปลงเรือ เพราะเรือตัดน้ำแข็งส่วนใหญ่ออกตัวล่องเรือกันที่นี่ แต่ถ้าใครยังพอมีเวลาช่วงก่อนเรือจะออก ลองแวะไปชมธารน้ำแข็งรัสเซล (Russel Glacier) ธารน้ำแข็งผืนใหญ่ที่สามารถไปเดินบนธารน้ำแข็งได้

จริงๆ วิวทิวทัศน์ระหว่างทางก่อนไปถึงธารน้ำแข็งก็สวยแล้ว เพราะผ่านทั้งทุ่งหญ้า น้ำตก และทะเลสาบ แต่เมื่อไปถึงธารน้ำแข็งแล้วจะยิ่งเชื่อว่า กรีนแลนด์คือที่ทางของธารน้ำแข็งจริงๆ

file

Sisimiut

อีกเมืองหนึ่งของกรีนแลนด์ที่จะทำให้คุณรู้จักกับชีวิตผู้คนชาวกรีนแลนด์มากขึ้นคือเมืองซิซิเมียท นี่คือเมืองเล็กๆ ที่มากมายไปด้วยสีสันในตัวเมือง มีโบสถ์ตั้งอยู่บนเนินเขากลางเมือง เมื่อขึ้นมาแล้วก็จะได้เจอกับจุดชมวิว ซึ่งมองเห็นซิซิเมียทได้ทั้งเมือง ใครมีเวลาว่างลองผลักประตูเข้าไปในโบสถ์ก็จะเห็นโบสถ์ไม้สไตล์กรีนแลนด์ที่งดงาม

เมืองนี้อาจจะทำให้หลายคนประหลาดใจเมื่อมีทั้งรถบัสประจำทางและแท็กซี่วิ่งให้บริการในตัวเมืองด้วย ทั้งที่มีผู้คนอาศัยอยู่แค่ 5,000 กว่าคนเท่านั้น

แต่รถเหล่านี้ให้บริการแค่ช่วงหน้าร้อน เพราะเมื่อพ้นช่วงเดือนสิงหาคม ทั้งเมืองก็จะถูกห่มไว้ด้วยหิมะขาวโพลน เมื่อหิมะท่วมเต็มที่พาหนะหลักของชาวเมืองอย่าง เลื่อนหรือสเลดจ์ (Sledge) ก็จะถูกนำมาใช้ในชีวิตประจำวันแทน นั่นเป็นเหตุผลที่เวลาเดินไปตามบ้านช่องห้องหับของผู้คนสิ่งที่ทุกบ้านมีคือสเลดจ์ ถ้าเดินเล่นในตัวเมืองกันเสร็จแล้ว ลองไปเดินในเทรลสั้นๆ ประมาณ 2 ชั่วโมง ที่จะพาทุกคนไปยังจุดชมวิวของซิซิเมียท ซึ่งพูดเลยว่าสวยเลอค่าจนลืมเหนื่อยกันไปเลย


Qeqertarsuaqe

ชาวกรีนแลนด์ชอบการเต้นระบำ แม้จะอยู่ในพื้นที่หนาวๆ พวกเขาก็หาความบันเทิงด้วยการเต้นระบำกันภายในบ้าน เมืองคีเคอร์ทาร์ซวกเป็นเมืองที่คุณสามารถแวะดูโชว์ของชาวเมืองได้ ทั้งคนหนุ่มสาวและคนมีอายุจะมาเต้นระบำด้วยกันอย่างสนุกสนาน

ดูโชว์เสร็จแล้วที่คีเคอร์ทาร์ซวกเป็นอีกเมืองหนึ่งที่มีเทรลให้นักท่องเที่ยวได้ไปเดินชมวิวกัน ในซัมเมอร์เราอาจไม่เห็นหิมะปกคลุมเมือง มีแต่ทุ่งโล่งและล้านกว้าง ซึ่งเอื้ออำนวยให้คนรักการเทรคกิ้งออกมาเดินเท้าไปตามเทรลที่พาไปชมวิวตามมุมต่างๆ ของเมือง และหากคุณมองหาไอซ์เบิร์ก ที่นี่จะเป็นเมืองซึ่งมีก้อนน้ำแข็งใหญ่ๆ ลอยละล่องให้นักท่องเที่ยวได้ตื่นตาตื่นใจกัน

file

Sarfannguit

คนกรีนแลนด์เขาอยู่กันแบบหลวมๆ มีหมู่บ้านหนึ่งอยู่กันแค่ 100 กว่าคนเท่านั้น นั่นก็คือซาร์ฟานงึด ในช่วงซัมเมอร์เราจะเห็นชาวบ้านออกมานั่งผึ่งแดดกันตรงลานกลางหมู่บ้าน และวันไหนมีนักท่องเที่ยวมาพวกเขาจะหอบข้าวของที่ทำกันเองภายในครัวเรือนออกมาวางขายนักท่องเที่ยวกัน แต่ของส่วนใหญ่ทำจากพวกขนแมวน้ำ เขากวาง และจากสัตว์ชนิดต่างๆ ในกรีนแลนด์

มาที่นี่เราจะเห็นบ้านหลากหลายสี และสมัยก่อนว่ากันว่าอาชีพของชาวกรีนแลนด์ บอกได้จากสีของบ้านนี้เอง นั่นทำให้สีบ้านของชาวกรีนแลนด์มีหลากหลายสีมาก แต่หลายคนที่สงสัยว่าชาวกรีนแลนด์อยู่อาศัยกันอย่างไรในสภาพอากาศหนาวเย็นเช่นนี้ ก็ต้องบอกว่าลักษณะบ้านมีโครงสร้างและรูปแบบทันสมัยขึ้น ส่วนใหญ่ก็จะสร้างจากไม้ มีหลังคาทรงสามเหลี่ยมหน้าจั่วลักษณะคล้ายกับโรงนาในชนบทของยุโรป

นี่คือหลากหลายมุมของกรีนแลนด์ที่น่าทำความรู้จักอย่างยิ่ง อาจจะหนาวเหน็บเหมือนไปใช้ชีวิตในตู้เย็น แต่นี่คือสถานที่ซึ่งอยู่ในหมวด Once in a lifetime

file

TRAVEL’ S Guide

  • คนไทยจะไปกรีนแลนด์ต้องยื่นคำร้องขอวีซ่าแบบเชงเก้นกับสถานทูตเดนมาร์ก โดยจะต้องระบุว่าต้องการเดินทางไปยังกรีนแลนด์  หากวีซ่าผ่านก็จะมีคำว่า “Valid for Greenland” ในหน้าวีซ่า สำหรับวีซ่าเชงเก้นที่ไม่ได้ระบุประโยคดังกล่าวนี้ จะไม่สามารถเข้าสู่กรีนแลนด์ได้
  • แนะนำให้เดินทางกับเรือ Albatross Expeditions  ที่ให้บริการล่องเรือเข้ากรีนแลนด์เฉพาะเดือน ก.ค. และ ส.ค. เท่านั้น คลิกไปดูได้ที่ https://www.albatrosexpeditions.com/
  • จากเมืองไทยยังไม่มีสายการบินให้บริการบินตรงไปยังเกาะกรีนแลนด์  นักท่องเที่ยวจะต้องไปต่อเครื่องที่ประเทศเดนมาร์กหรือประเทศไอซ์แลนด์  เช่น บินด้วยสายการบินไทยไปยังออสโล หรือโคเปน-เฮเกนก่อน แล้วต่อไฟลท์