ขายหุ้นสหรัฐฯ หนีภาวะฟองสบู่ สู่โอกาสใหม่ในหุ้น High Dividend

นิตยสาร Trust ฉบับที่ 74 | คอลัมน์ Wealth Manager Talk

iStock 1455743464 retouch

เข้าสู่โค้งสุดท้ายของปี 2025 ตลาดหุ้นหลายแห่งทั่วโลกเดินหน้าทำ All Time High อย่างต่อเนื่อง โดยได้รับอานิสงส์จากการบรรลุข้อตกลงในการลดภาษีนำเข้าระหว่างสหรัฐฯ กับประเทศคู่ค้า รวมถึงผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนที่ยังแข็งแกร่ง ในขณะที่อัตราดอกเบี้ยที่มีแนวโน้มปรับตัวลดลง ก็ยิ่งเป็นการเติมเชื้อไฟให้กับตลาดกระทิงคึกคักมากขึ้น

     อย่างไรก็ตาม บรรยากาศที่สดใสของตลาดหุ้นยังคงสวนทางกับตัวเลขเศรษฐกิจที่ยังเต็มไปด้วยความไม่แน่นอน เนื่องจากการปรับขึ้น Tariffs มีแนวโน้มส่งผ่านไปยังต้นทุนสินค้าในระยะถัดไป ทำให้อัตราเงินเฟ้อทรงตัวในระดับสูง และอาจกดดันให้ตลาดหุ้นสหรัฐฯ มีความเสี่ยงที่จะปรับฐาน นักลงทุนควรกำหนดกลยุทธ์การลงทุนในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี 2025 อย่างไร

หุ้นสหรัฐฯ เสี่ยงเข้าสู่ภาวะฟองสบู่

     หนึ่งในคำถามที่นักลงทุนทั่วโลกเฝ้าจับตามากที่สุดในเวลานี้ คือหุ้นสหรัฐฯ ราคาแพงเกินไปแล้วหรือยัง ปัจจุบัน Forward PE ของดัชนี S&P500 ซื้อขายอยู่ในระดับที่สูงราว 23 เท่า นับเป็นระดับที่สูงสุดในรอบ 25 ปี ใกล้เคียงกับช่วงฟองสบู่ Dotcom ปี 2000 และช่วงหลังวิกฤต COVID-19 ปี 2021 นอกจากนี้ งานวิจัยจาก JP Morgan สถาบันการเงินชั้นนำระดับโลก ที่ทำการเก็บข้อมูลตั้งแต่ปี 1987 ถึงปัจจุบัน ระบุว่าหากนักลงทุนเข้าซื้อหุ้นสหรัฐฯ ที่ PE ระดับ 23 เท่า ผลตอบแทนเฉลี่ยที่ได้รับจะอยู่ในระดับ ‘ใกล้เคียง 0%’ ในช่วง 1 ปีข้างหน้า สถิตินี้ชี้ชัดว่า การซื้อหุ้นสหรัฐฯ ที่ราคาปัจจุบัน มี Upside จำกัดและอาจไม่คุ้มความเสี่ยงที่นักลงทุนต้องแบกรับ

     ทั้งนี้ หากพิจารณาเฉพาะกำไรเพียงหนึ่งปีข้างหน้า อาจจะทำให้เกิดความคลาดเคลื่อนในการประเมินมูลค่าได้ อีกหนึ่งมาตรวัดที่สามารถนำมาใช้ คือ CAPE (Cyclically Adjusted PE Ratio) ซึ่งเป็นการนำราคาหุ้นมาหารกับกำไรเฉลี่ย 10 ปีย้อนหลัง (ปรับด้วยเงินเฟ้อ) เพื่อขจัดผลจากวัฏจักรเศรษฐกิจและกำไรชั่วคราว พบว่าปัจจุบัน ค่า CAPE ของหุ้นสหรัฐฯ อยู่ในระดับที่แพงสุดในรอบ 154 ปี นับตั้งแต่ปี 1871 โดยมีค่า CAPE อยู่ที่ 39 เท่า มีเพียงครั้งเดียวเท่านั้นในประวัติศาสตร์ที่ค่า CAPE อยู่ในระดับที่สูงกว่านี้ นั่นก็คือ ช่วงฟองสบู่ Dotcom ปี 2000 ที่ค่า CAPE ขึ้นไปแตะระดับสูงสุดที่ 44 เท่า ก่อนที่ฟองสบู่จะแตกลง ข้อสรุปที่ได้จากค่า CAPE ก็คือ ปัจจุบันหุ้นสหรัฐฯ อยู่ห่างจากจุดที่เคยฟองสบู่แตกเพียงแค่ 13% เท่านั้น (แผนภาพที่ 1)

P7 Wealth Manager Talk1

     ท่ามกลางสถานการณ์ที่ Valuation ของตลาดหุ้นสหรัฐฯ กลับมาอยู่ในระดับที่สูงสุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์และมีความเสี่ยงที่จะปรับฐาน นักลงทุนควรใช้โอกาสนี้ในการขายทำกำไรหุ้นสหรัฐฯ และปรับพอร์ตเชิงรับมากขึ้น โดยเน้นลงทุนหุ้นที่มีความ Defensive ดังต่อไปนี้        

เพิ่มความแข็งแกร่งของพอร์ตด้วยหุ้น Global High Dividend

     ธีมแรกที่น่าสนใจ คือ หุ้นกลุ่ม High Dividend ทั่วโลก ซึ่งเน้นกระจายการลงทุนไปที่บริษัทระดับโลกที่ขายสินค้าและบริการที่มีความจำเป็น มีฐานรายได้กระจายทั่วโลก ตลอดจนอุปสงค์ที่มีต่อสินค้าและบริการของบริษัทเหล่านี้ไม่อ่อนไหวตามภาวะเศรษฐกิจ เช่น หุ้นกลุ่ม Healthcare, Consumer Staples และ Financials ส่งผลให้บริษัทเหล่านี้มีผลกำไรที่มีความแข็งแกร่งและนำไปสู่การจ่ายเงินปันผลให้กับผู้ถือหุ้นในอัตราที่สูงและสม่ำเสมอ

     ปัจจุบัน Forward PE ของหุ้นกลุ่ม Global High Dividend ยังซื้อขายอยู่ในระดับที่ Discount ดัชนีหุ้นโลกอยู่มากถึง 12% และยังมีอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผล (Dividend Yield) อยู่ที่ระดับ 3.4% ทำให้มี Downside Risk ที่ค่อนข้างต่ำ นอกจากนี้ หุ้นกลุ่ม Global High Dividend ยังเป็นตัวช่วยที่ดีในการลดความผันผวนของพอร์ตของนักลงทุนได้ เนื่องจากมีค่าความผันผวน (Volatility) ของราคาหุ้นที่ต่ำกว่าตลาดหุ้นโลกอย่างชัดเจน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในช่วงที่ตลาดหุ้นเผชิญกับเหตุการณ์ความไม่แน่นอน (แผนภาพที่ 2)

P7 Wealth Manager Talk2

หุ้นปันผลไทย โอกาสลงทุนครั้งประวัติศาสตร์

     ตลาดหุ้นไทยถือเป็นตลาดหุ้นที่ผลตอบแทนยัง Laggard ตลาดหุ้นอื่น ๆ ในปีนี้ และกำลังอยู่ในจุดที่น่าสนใจมากที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์ โดยเฉพาะกลุ่ม High Dividend ที่เป็นบริษัทขนาดใหญ่ มีความมั่นคง ฐานะทางการเงินแข็งแกร่งและเป็นเสาหลักของแต่ละอุตสาหกรรมที่ดำเนินธุรกิจมาอย่างยาวนานและทนทานต่อวิกฤตเศรษฐกิจ อย่างเช่น กลุ่มธนาคาร กลุ่มสื่อสาร กลุ่มพลังงาน และกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ ที่ยังมี Valuation ที่ต่ำ สะท้อนจากค่า Price to Book Value (PBV) ของดัชนี SETHD (SET High Dividend) ซึ่งอยู่ที่ประมาณ 1.06 เท่า ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในอดีตมากถึง 35%

     นอกจากนี้ หุ้นปันผลของไทยยังมีแนวโน้มได้รับอานิสงส์จากนโยบายการเงินที่ผ่อนคลายผ่านการปรับลดอัตราดอกเบี้ย โดย TISCO ESU คาดว่าคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ยังมีแนวโน้มที่จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงอีก 3 ครั้งจากระดับ 1.5% สู่ระดับ 0.75% ภายในครึ่งแรกของปี 2026 เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจและลดต้นทุนการกู้ยืมของทั้งภาคครัวเรือนและภาคเอกชน การปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงอย่างต่อเนื่องจะส่งผลให้ประเทศไทยกลับมาอยู่ใน ‘ยุคดอกเบี้ยต่ำ’ และเกิดภาวะ ‘Searching for Yield’ หรือภาวะที่เม็ดเงินจะไหลออกจากสินทรัพย์ที่ผลตอบแทนต่ำไปยังสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนสูง

     ปัจจุบันผลตอบแทนจากเงินปันผล (Dividend Yield) ของหุ้นกลุ่ม High Dividend อยู่ในระดับที่สูงถึงประมาณ 6.87% ถือเป็นระดับที่สูงที่สุดในรอบ 15 ปี นับตั้งแต่มีการเก็บข้อมูลครั้งแรก หากนำตัวเลขดังกล่าวไปเปรียบเทียบกับผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลไทยอายุ 10 ปี ที่อยู่ในระดับต่ำเพียงแค่ราว 1.34% จะเห็นว่า ส่วนต่างของผลตอบแทน (Dividend Yield Gap) ระหว่างทั้งสองสินทรัพย์ต่างกันมากถึง 5.5% (แผนภาพที่ 3) ซึ่งเป็นส่วนต่างที่กว้างที่สุดในรอบ 15 ปีที่ผ่านมา ส่งผลให้ในอนาคตเม็ดเงินมีโอกาสไหลเข้าไปลงทุนในหุ้นไทย High Dividend ซึ่งให้ผลตอบแทนที่สูงกว่าพันธบัตรอย่างมีนัยสำคัญ

P8 Wealth Manager Talk

     แม้ไม่มี Indicator ใดที่บอกได้ว่าตลาดหุ้นสหรัฐฯ จะ งเมื่อไร แต่สิ่งที่ชัดเจนคือ ตลาดกำลังยืนอยู่ในโซนที่ ม่ปลอดภัย นักลงทุนควรทยอยลดสัดส่วนในหุ้นสหรัฐฯ และปรับพอร์ตเข้าลงทุนสินทรัพย์ที่มีความมั่นคงอย่างหุ้นกลุ่ม High Dividend ทั้งในไทยและต่างประเทศ เพื่อลดความผันผวนของพอร์ตและสร้างผลตอบแทนที่แข็งแกร่งในระยะยาว

Trust Magazine by TISCO
Scroll to Top
ไอคอน PDPA

เว็บไซต์นี้มีการจัดเก็บคุกกี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการใช้งานเว็บไซต์ของท่านให้ดียิ่งขึ้น และนำเสนอโฆษณาที่เกี่ยวข้องและตรงกับความสนใจของท่าน โดยท่านสามารถศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้จาก นโยบายการใช้คุกกี้ กรุณากดยอมรับเพื่อยินยอมให้เราใช้คุกกี้

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    เปิดใช้งานตลอด

    ประเภทของคุกกี้มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้ได้อย่างเป็นปกติ และเข้าชมเว็บไซต์ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้
    รายละเอียดคุกกี้

  • คุกกี้ที่จำเป็น

    ประเภทของคุกกี้มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้ได้อย่างเป็นปกติ และเข้าชมเว็บไซต์ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้

บันทึกการตั้งค่า