Biotech หุ้นนวัตกรรมยายุคใหม่ ที่ต้องมีไว้ในพอร์ต

Biotech หุ้นนวัตกรรมยายุคใหม่ ที่ต้องมีไว้ในพอร์ต

หากนึกถึงหุ้นกลุ่ม Healthcare นักลงทุนส่วนใหญ่มักนึกถึงบริษัทยาขนาดใหญ่ที่มีความมั่นคงแต่มีการเติบโตที่ช้า ทำให้นักลงทุนมักเหมารวมหุ้นกลุ่ม Healthcare เป็นหุ้นกลุ่ม Defensive ที่ไม่ได้คาดหวังผลตอบแทนจากการลงทุนที่สูงและเป็นเพียงแค่หลุมหลบภัยในช่วงที่ตลาดหุ้นผันผวนเท่านั้น แต่แท้จริงแล้ว มีหุ้นกลุ่มหนึ่งในอุตสาหกรรม Healthcare ที่มีแนวโน้มการเติบโตสูงและสามารถสร้างผลตอบแทนในช่วง 10 ปีที่ผ่านมาได้สูงถึง 10% โดยเฉลี่ยต่อปี นั่นก็คือ หุ้นกลุ่ม Biotechnology

หุ้นกลุ่ม Biotech มักจะเป็นบริษัทขนาดกลางและขนาดเล็กที่มุ่งเน้นการวิจัยและพัฒนา “นวัตกรรมยา” ที่สังเคราะห์จากสิ่งมีชีวิตตามธรรมชาติและมีความซับซ้อนในการผลิตสูง โดยกลุ่ม Biotech มักจะเป็นบริษัทที่มีศักยภาพในการเติบโตที่รวดเร็วเมื่อเทียบกับบริษัทอื่นๆในกลุ่มอุตสาหกรรมการแพทย์ สะท้อนจากอัตราการเติบโตของรายได้เฉลี่ยในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา (2013 - 2023) ที่สูงถึง 13% ต่อปี (CAGR) มากที่สุดในบรรดา Sub-sector กลุ่ม Healthcare และเป็นการเติบโตที่สูงกว่าบริษัทยาขนาดใหญ่ (Pharmaceuticals) ที่มีการเติบโตของกำไรในช่วงเวลาเดียวกันเพียงแค่ 5% CAGR เท่านั้น ด้วยแนวโน้มการเติบโตที่โดดเด่นอย่างต่อเนื่อง หุ้นกลุ่ม Biotech จึงสามารถสร้างผลตอบแทนที่สูงถึง 10% โดยเฉลี่ยต่อปี ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมาและมักเป็นที่ชื่นชอบของนักลงทุนในฐานะหุ้นเติบโต

ความสามารถในการแข่งขันของบริษัทกลุ่ม Biotech มักจะอยู่ที่ “สิทธิบัตร” ซึ่งเป็นปัจจัยที่ช่วยกีดกันการลอกเลียนแบบจากคู่แข่งและทำให้บริษัท Biotech มีอำนาจในการตั้งราคาสินค้าในระดับสูง (Pricing Power) ได้เป็นเวลายาวนานถึง 10 – 20 ปี ทำให้กลุ่ม Biotech มีความสามารถในการทำกำไรที่สูง สะท้อนผ่านอัตรากำไรขั้นต้น (Gross Profit Margin) โดยเฉลี่ยที่สูงถึง 70% - 80% และมีความผันผวนของผลประกอบการที่ต่ำ ไม่แปรผันตามภาวะเศรษฐกิจ

ความสำเร็จของบริษัท Biotech ขึ้นอยู่กับ 2 ปัจจัยสำคัญ ได้แก่ “การอนุมัติยาตัวใหม่” และ “การควบรวมกิจการ” ซึ่งปัจจุบันทั้งสองปัจจัยกำลังมีจุดเปลี่ยนที่สำคัญในปี 2024

ปัจจัยแรก คือ การอนุมัติยาตัวใหม่จาก FDA (องค์การอาหารและยาของสหรัฐฯ) ซึ่งกลับมาทำ New high ในรอบ 5 ปี สืบเนื่องมาจากหลายปัจจัย ทั้งสถานการณ์ COVID-19 ที่คลี่คลายลง กระบวนการวิจัยและพัฒนายาที่รวดเร็วขึ้น ตลอดจนการนำเทคโนโลยี AI เข้ามาช่วยคิดค้นนวัตกรรมยารักษาโรคใหม่ๆ โดยในปี 2023 ที่ผ่านมามีการอนุมัติยาตัวใหม่จาก FDA มากถึง 55 รายการ และ 1 ใน 3 ของจำนวนยาที่ได้รับการอนุมัติเป็นยากลุ่มที่ใช้เทคโนโลยีชีวภาพในการผลิต

ซึ่งปัจจัยดังกล่าวจะส่งผลโดยตรงต่อรายได้ของบริษัทในกลุ่ม Biotech ให้เติบโตขึ้นอย่างก้าวกระโดด

ด้วยมูลค่าของตลาดโดยรวม (Total Addressable Market) ของยารักษาโรคหลายชนิดที่มีขนาดใหญ่ระดับโลก จึงเป็นโอกาสในการเติบโตสำหรับบริษัท Biotech ที่คิดค้นนวัตกรรมยารักษาโรคชนิดต่างๆได้ ยกตัวอย่างเช่น นวัตกรรมยารักษาโรคอ้วนเรื้อรัง ซึ่งเป็นที่ต้องการของตลาดเป็นอย่างมากจากจำนวนของผู้ป่วยโรคอ้วนที่เพิ่มขึ้นแตะระดับ 1 พันล้านคนทั่วโลกในปัจจุบัน (คิดเป็น 1 ใน 8 ของประชากรโลก) โดย Morgan Stanley ได้คาดการณ์ว่า ตลาดยาลดน้ำหนักจะเติบโตได้อีกกว่า 4 เท่าตัว จากปัจจุบันที่ระดับ 7.7 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ไปสู่ระดับ 3.1 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ภายในปี 2030 หรือคิดเป็นการเติบโต 22% เฉลี่ยต่อปีแบบทบต้น ส่งผลให้บริษัทที่ผลิตยารักษาโรคอ้วนเรื้อรังเป็นผู้ได้ที่ได้รับประโยชน์จากเทรนด์ดังกล่าว ทั้งนี้ ยังมีอีกหลายตลาดที่มีช่องว่างให้บริษัท Biotech เข้าไปยึดครองและสร้างการเติบโต เช่น ตลาดผู้ป่วยโรคอัลไซเมอร์ โรคไตวายเรื้อรัง รวมไปถึงโรคมะเร็งชนิดต่างๆ เป็นต้น

ปัจจัยที่สอง คือ การควบรวมกิจการ โดย Bloomberg Intelligence ได้มีรายงานว่า กิจกรรม M&A (Mergers & Acquisitions) ภายในอุตสาหกรรม Healthcare กำลังมีแนวโน้มเร่งตัวขึ้นแตะระดับ 141 ดีล นับเป็นระดับที่สูงสุดในรอบ 4 ปีนับตั้งแต่เกิดวิกฤต COVID-19 อันเนื่องมาจากบริษัทยาขนาดใหญ่กำลังประสบปัญหาสิทธิบัตรยามากกว่า 170 ชนิดที่กำลังจะหมดอายุในช่วงปี 2023 - 2030 ซึ่งคิดเป็น 1 ใน 3 ของยอดขายในสหรัฐฯและยุโรป ส่งผลให้บริษัทยาขนาดใหญ่ต้องเร่งหาช่องทางในการเติบโตใหม่ ทั้งในรูปแบบ Organic growth ด้วยการเร่งคิดค้นและพัฒนายาตัวใหม่ออกสู่ตลาด และในรูปแบบ Inorganic growth ด้วยการเข้าซื้อกิจการบริษัท Biotech ขนาดกลางและเล็กอื่นๆที่มีการผลิตคิดค้นนวัตกรรมเป็นของตัวเอง จุดที่น่าสนใจก็คือ บริษัทยายักษ์ใหญ่มักจะเสนอซื้อกิจการ Biotech ในราคาที่แพงกว่าราคาตลาด (Premium) เป็นอย่างมาก เช่น 50% - 100% ทำให้เมื่อมีการประกาศดีล M&A ขึ้น ราคาหุ้น Biotech ที่ถูกเข้าซื้อกิจการ มักมีราคาพุ่งทะยานขึ้นอย่างรวดเร็ว ใกล้เคียงกับส่วนต่างราคา (Premium) ที่มีการตกลงซื้อขายกัน

อย่างไรก็ตาม การลงทุนในอุตสาหกรรมอย่าง Biotech อาจเป็นงานที่ไม่ง่ายนักสำหรับนักลงทุนทั่วไป เพราะต้องอาศัยความรู้ทางด้านการแพทย์ในระดับสูงในการทำความเข้าใจผลิตภัณฑ์และอนาคตของแต่ละบริษัท ประกอบกับ ต้องใช้ความรู้ทางด้านการเงินในการวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานและประเมินมูลค่าหุ้น ดังนั้น เราจึงแนะนำให้ลงทุนผ่านกองทุนรวมที่บริหารโดยผู้จัดการกองทุนที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะด้านและใช้กลยุทธ์การลงทุนแบบ Active Management ในการเลือกลงทุนบริษัทในกลุ่ม Biotech เพื่อคว้าโอกาสในการสร้างผลตอบแทนที่สูงจากแนวโน้มการเติบโตของอุตสาหกรรมไปพร้อมกับลดความเสี่ยงในการลงทุน

 

บทความโดย ภาคภูมิ พีรยวัฒนา AFPT™

Senior Wealth Manager ธนาคารทิสโก้

บทความล่าสุด

กิจกรรม M&A กำลังจะกลับมา กลุ่ม Biotechnology ได้ประโยชน์สูงสุด

โพสต์เมื่อ 7 พฤษภาคม 2567

นอกจากนวัตกรรมการค้นคว้ายาชนิดใหม่รวมถึงการนำเทคโนโลยีอย่าง AI เข้ามาช่วยในการวิจัยยารักษาโรคหายาก กิจกรรมการควบรวมกิจการ หรือ M&A ก็นับเป็นหนึ่งในปัจจัยที่มีความสำคัญต่อราคาหุ้นของกลุ่มเทคโนโลยีชีวภาพ (Biotechnology)

อ่านต่อ >>

FDA อนุมัติยาสูงสุดในรอบ 5 ปี โอกาสทองลงทุน Biotech

โพสต์เมื่อ 7 พฤษภาคม 2567

FDA สหรัฐฯ กลับมาอนุมัติยาสูงสุดในรอบ 5 ปี ( FDA คือ องค์การอาหารและยาของสหรัฐฯ ) โดยในช่วงสองทศวรรษที่ผ่านมา จำนวนยาที่ได้รับอนุมัติจาก FDA เพิ่มขึ้นถึง 100% โดยเฉพาะปี 2023 ที่ FDA มีการอนุมัติยาสูงสุดในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา ที่ 55 รายการ

อ่านต่อ >>

Biotech หุ้นนวัตกรรมยายุคใหม่ ที่ต้องมีไว้ในพอร์ต

โพสต์เมื่อ 7 พฤษภาคม 2567

หากนึกถึงหุ้นกลุ่ม Healthcare นักลงทุนส่วนใหญ่มักนึกถึงบริษัทยาขนาดใหญ่ที่มีความมั่นคงแต่มีการเติบโตที่ช้า ทำให้นักลงทุนมักเหมารวมหุ้นกลุ่ม Healthcare เป็นหุ้นกลุ่ม Defensive ที่ไม่ได้คาดหวังผลตอบแทนจากการลงทุนที่สูงและเป็นเพียงแค่หลุมหลบภัยในช่วงที่ตลาดหุ้นผันผวนเท่านั้น

อ่านต่อ >>