TISCO Investment Portfolio Strategy
SEPTEMBER 2023
เรามองว่าตลาดในปัจจุบันกำลังเปลี่ยนผ่านจากภาวะ Goldilocks ซึ่งเป็นภาวะที่กำลังดี ไม่ร้อนแรงเกินไป หรือชะลอตัวเกินไป ท่ามกลางอัตราเงินเฟ้อลดลงอย่างต่อเนื่อง ในขณะที่เศรษฐกิจยังไม่ได้ชะลอตัวลงแรง ซึ่งทำให้ตลาดหุ้นปรับตัวขึ้นในช่วงที่ผ่านมา
อย่างไรก็ดี เราเชื่อว่าตลาดกำลังเปลี่ยนเข้าสู่ภาวะ Stagflation ตามแรงกดดันเงินเฟ้อ จากการเพิ่มขึ้นของราคาสินค้าโภคภัณฑ์ ปรากฎการณ์ El Nino ที่จะทำให้ผลผลิตการเกษตรลดลง อัตราเงินเฟ้อซึ่งอาจปรับขึ้นสูงกว่าที่ตลาดคาด ในขณะที่เศรษฐกิจน่าจะชะลอลงต่อเนื่อง ตามผลบวกจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจการคลังที่หมดลง และผลลบจากนโยบายการเงินที่เข้มงวดขึ้นในช่วงที่ผ่านมา ซึ่งอาจทำให้ประเด็นเงินเฟ้อสูงกลับมาเป็นปัจจัยที่ตลาดกังวลในระยะข้างหน้า
หากพัฒนาการทางเศรษฐกิจเป็นไปตามที่เราคาด ตลาดหุ้นในภาวะ Stagflation มักจะให้ผลตอบแทนเป็นลบ โดยเฉพาะหุ้นกลุ่มที่มีการเคลื่อนไหวตามภาวะเศรษฐกิจ (Cyclical) ได้แก่ Consumer Discretionary และ Industrials แต่ยังมีบางกลุ่มที่ให้ผลตอบแทนเป็นบวก ได้แก่ กลุ่ม Energy และกลุ่มที่มีผลการดำเนินงานสม่ำเสมอ ไม่เปลี่ยนตามภาวะเศรษฐกิจ (Defensive) ได้แก่ กลุ่ม Utilities, Consumer Staples และ Healthcare
เมื่อเปรียบเทียบเป็นรายสินทรัพย์ พบว่าราคาสินค้าโภคภัณฑ์ ได้แก่ ราคาน้ำมัน และ ราคาทองคำมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นสูง สวนทางกับตลาดหุ้นในกลุ่มประเทศเกิดใหม่ (Emerging Markets: EM)
ด้าน Valuation ของตลาดหุ้นโดยรวม ยังอยู่ในระดับที่แพง ค่า Forward P/E ของ S&P500 อยู่ที่ 19 เท่า สูงกว่าเฉลี่ยที่ 16-17 เท่า ในช่วงปี 2018-2019 ซึ่งเป็นช่วงท้ายของการขึ้นดอกเบี้ยรอบก่อนคล้ายกับปัจจุบัน ในขณะที่ Bond yield น่าจะยังทรงตัวในระดับสูง โดยอาจลดลงเล็กน้อยจากระดับปัจจุบันที่ 4.3% เป็น 3.9% ในช่วงสิ้นปีนี้
เมื่อแบ่งเป็นราย Sector หุ้นในกลุ่ม Defensive มีความน่าสนใจมากกว่ากลุ่ม Cyclical โดยมีค่า Forward P/E ที่ค่อนข้างต่ำ เช่น Utilities ที่ 16 เท่า และ Health Care 18 เท่า
ดังนั้น เราแนะนำให้เลือกเพิ่มน้ำหนักหุ้นเป็นราย Sector ในกลุ่ม Defensive เช่น Health Care และ Utilities ซึ่งน่าจะให้ผลตอบแทนเป็นบวก และ Outperform หุ้นกลุ่มอื่นในระยะข้างหน้า และปรับลดน้ำหนักการลงทุนในหุ้นจีนลงเป็น Neutral