3 สินทรัพย์ทางรอด ที่ต้องมีติดพอร์ตในไตรมาส 4

file

เข้าสู่ช่วงไตรมาส 4/2023 ตลาดหุ้นทั่วโลกยังคงเผชิญความผันผวนอย่างต่อเนื่องจากภาวะสงครามระหว่างอิสราเอลกับกลุ่มฮามาสที่เริ่มปะทุขึ้นตั้งแต่ช่วงต้นเดือน ต.ค. ประกอบความกังวลต่อภาวะเศรษฐกิจที่มีแนวโน้มชะลอตัวลงและอัตราดอกเบี้ยทั่วโลกที่ทรงตัวอยู่ในระดับสูง ทำให้นักลงทุนเริ่มปรับกลยุทธ์การลงทุนเป็นแบบ “Risk off” โดยมีการโยกย้ายเม็ดเงินเข้าสู่ “สินทรัพย์ปลอดภัย” เพื่อเตรียมรับมือกับความเสี่ยงที่เริ่มสูงขึ้นในระยะข้างหน้า แม้สภาวะดังกล่าวจะเป็นช่วงเวลาที่ยากลำบากในการลงทุน แต่เรามองว่ายังมี 3 สินทรัพย์ “ทางรอด” ที่นักลงทุนต้องมีติดพอร์ต เพื่อสร้างผลตอบแทนที่ดีและฝ่าฟันสภาวะที่ยากลำบากนี้ได้ ดังนี้

1.ตราสารหนี้สหรัฐฯ

ปัจจุบันอัตราดอกเบี้ยของสหรัฐฯ ได้ปรับตัวขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 5.25%-5.5% ซึ่งเป็นระดับที่สูงสุดนับตั้งแต่วิกฤติ Subprime ปี 2008 โดยตลาดเชื่อว่า Fed ได้ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยมาอยู่ที่ระดับสูงสุด (Terminal rate) แล้ว และจะเริ่มกลับมาปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงอีกครั้งในช่วงกลางปี 2024 ปัจจุบันจึงถือเป็นโอกาสทองในการลงทุนสินทรัพย์ปลอดภัยอย่างพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ที่กำลังให้ผลตอบแทน (Yield) ที่สูงถึงกว่า 5%

นอกจากนี้ จากการศึกษาข้อมูลย้อนหลังในอดีตนับตั้งแต่ปี 1984 ซึ่ง Fed ได้ทำการขึ้นอัตราดอกเบี้ยมาแล้วทั้งสิ้น 6 ครั้ง พบว่า หลังจากที่ Fed ขึ้นอัตราดอกเบี้ยครั้งสุดท้าย Bond yield อายุ 10 ปี จะลดลงทุกครั้งราว 0.5%-1.5% ภายในระยะเวลา 6 เดือน หรืออาจกล่าวได้ว่า ราคาพันธบัตรมักจะปรับตัวเพิ่มขึ้นและสร้างกำไร (Capital gain) ให้กับนักลงทุนได้หลังจากที่อัตราดอกเบี้ยผ่านจุดสูงสุด

ทั้งนี้ จากสถานการณ์ปัจจุบันที่ Bond yield สหรัฐฯ ทรงตัวอยู่ในระดับที่สูงราว 5% หาก Fed หยุดขึ้นอัตราดอกเบี้ยแล้วตามที่ตลาดคาด เราคาดว่าการลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ จะสามารถสร้างผลตอบแทนรวมได้ราว 7% และหากเศรษฐกิจเริ่มส่งสัญญาณเข้าสู่ภาวะ Recession ชัดเจนขึ้นในปีหน้า จนทำให้ Fed ต้องหันกลับมาลดอัตราดอกเบี้ยลง พันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ มีโอกาสสร้างผลตอบแทนรวมได้มากถึง 19% สะท้อนให้เห็นว่า พันธบัตรมีโอกาสสร้างผลตอบแทนได้ในระดับสูงและมีความเสี่ยงที่ต่ำ (Low Risk High Return)

2.หุ้นกลุ่ม Healthcare

สำหรับการลงทุนในฝั่งตลาดหุ้น หุ้นกลุ่มการแพทย์ถือเป็นกลุ่มที่สามารถทนทานต่อภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวได้ดีที่สุด กล่าวคือ รายได้มีความแข็งแกร่ง เนื่องจากขายสินค้าจำเป็น ทำให้ความต้องการสินค้าไม่ชะลอตัวลงตามภาวะเศรษฐกิจ นอกจากนี้ บริษัทในอุตสาหกรรมนี้ยังมีอำนาจในการปรับขึ้นราคาสินค้า (Pricing Power) และมีความสามารถในการควบคุมต้นทุนในช่วงที่ต้นทุนการผลิตสูงขึ้น สะท้อนผ่านตัวเลขอัตรากำไร (Profit margin) ที่อยู่ในระดับสูงและมีความสม่ำเสมอ กำไรของธุรกิจ Healthcare จึงมีความแข็งแกร่งกว่าอุตสาหกรรมอื่น สามารถเติบโตได้ท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจถดถอยและเป็นหุ้นกลุ่มที่มักจะสร้างผลตอบแทนชนะตลาดได้ในภาวะ Recession ทุกครั้งที่ผ่านมาในอดีต

หากมองไปที่ปี 2024 หุ้นกลุ่ม Healthcare ถือเป็นกลุ่มที่เรียกได้ว่า “เติบโตสูง ราคาไม่แพง” เนื่องจากนักวิเคราะห์ได้คาดการณ์ว่ากำไรของหุ้นกลุ่ม Healthcare จะเติบโตได้สูงถึง +15.4% YoY นับเป็นอัตราการเติบโตที่สูงกว่ากำไรของบริษัทในดัชนี S&P500 ที่มีแนวโน้มขยายตัว +12.2% YoY นอกจากนี้ หุ้นกลุ่ม Healthcare ยังมี Valuation ที่ต่ำกว่าภาพรวมตลาด สะท้อนจากค่า Forward PE ที่อยู่เพียงแค่ 17 เท่า ต่ำกว่าดัชนี S&P500 ที่ซื้อขายกันที่ Forward PE 18 เท่า ทำให้ความเสี่ยงในการลงทุนมีต่ำกว่าหุ้นอุตสาหกรรมอื่น ๆ

3.ทองคำ

เมื่อเกิดเหตุการณ์ความไม่แน่นอนในตลาดการเงิน ไม่ว่าจะเป็นภาวะวิกฤติเศรษฐกิจหรือภาวะสงคราม ทองคำยังคงเป็น “Safe heaven” หรือสินทรัพย์ปลอดภัยที่นักลงทุนไว้ใจได้เสมอ ในสภาวะปัจจุบันที่เศรษฐกิจมีแนวโน้มชะลอตัวลงประกอบกับความเสี่ยงทางด้านภูมิรัฐศาสตร์ที่คาดเดาได้ยาก การกระจายเงินลงทุนบางส่วนไว้ในทองคำ น่าจะช่วยสร้างผลตอบแทนที่ดีหากเกิดความเสี่ยงด้านลบต่อตลาดการเงิน นอกจากนี้ ทองคำยังได้รับแรงหนุนจากกระแส De-dollarization หรือการที่ธนาคารกลางทั่วโลก ลดการถือครองดอลลาร์และเพิ่มการถือครองทองคำมากขึ้น สะท้อนให้เห็นว่า ทองคำยังเป็นสินทรัพย์ที่มีความต้องการซื้อทั้งจากบรรดาธนาคารกลางและนักลงทุนเข้ามาอย่างต่อเนื่อง

ดังนั้น ไตรมาส 4/2023 จึงถือเป็นช่วงเวลาสำคัญของการทำ Asset Allocation ด้วยการลดการลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยง ปรับพอร์ตการลงทุนเข้าสินทรัพย์ปลอดภัยอย่างพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ และทองคำ ตลอดจนหุ้นกลุ่ม Defensive อย่างกลุ่มการแพทย์ เพื่อรับมือกับความไม่แน่นอนที่อาจเกิดขึ้นในอนาคตทั้งจากภาวะเศรษฐกิจและการเมืองระหว่างประเทศที่ยากจะคาดเดาว่าสถานการณ์จะออกมาเป็นอย่างไร

 

หากท่านใดมีข้อข้องใจเกี่ยวกับการวางแผนการเงินของตนเอง สามารถส่งคำถามของท่านมาได้ที่ prtisco@tisco.co.th  I

บทความโดย ภาคภูมิ พีรยวัฒนา AFPT™

Wealth manager ธนาคารทิสโก้

เผยแพร่ครั้งแรกที่ Facebook : TNN Wealth

บทความล่าสุด

กิจกรรม M&A กำลังจะกลับมา กลุ่ม Biotechnology ได้ประโยชน์สูงสุด

โพสต์เมื่อ 8 พฤษภาคม 2567

นอกจากนวัตกรรมการค้นคว้ายาชนิดใหม่รวมถึงการนำเทคโนโลยีอย่าง AI เข้ามาช่วยในการวิจัยยารักษาโรคหายาก กิจกรรมการควบรวมกิจการ หรือ M&A ก็นับเป็นหนึ่งในปัจจัยที่มีความสำคัญต่อราคาหุ้นของกลุ่มเทคโนโลยีชีวภาพ (Biotechnology)

อ่านต่อ >>

FDA อนุมัติยาสูงสุดในรอบ 5 ปี โอกาสทองลงทุน Biotech

โพสต์เมื่อ 8 พฤษภาคม 2567

FDA สหรัฐฯ กลับมาอนุมัติยาสูงสุดในรอบ 5 ปี ( FDA คือ องค์การอาหารและยาของสหรัฐฯ ) โดยในช่วงสองทศวรรษที่ผ่านมา จำนวนยาที่ได้รับอนุมัติจาก FDA เพิ่มขึ้นถึง 100% โดยเฉพาะปี 2023 ที่ FDA มีการอนุมัติยาสูงสุดในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา ที่ 55 รายการ

อ่านต่อ >>

Biotech หุ้นนวัตกรรมยายุคใหม่ ที่ต้องมีไว้ในพอร์ต

โพสต์เมื่อ 8 พฤษภาคม 2567

หากนึกถึงหุ้นกลุ่ม Healthcare นักลงทุนส่วนใหญ่มักนึกถึงบริษัทยาขนาดใหญ่ที่มีความมั่นคงแต่มีการเติบโตที่ช้า ทำให้นักลงทุนมักเหมารวมหุ้นกลุ่ม Healthcare เป็นหุ้นกลุ่ม Defensive ที่ไม่ได้คาดหวังผลตอบแทนจากการลงทุนที่สูงและเป็นเพียงแค่หลุมหลบภัยในช่วงที่ตลาดหุ้นผันผวนเท่านั้น

อ่านต่อ >>