วางแผนส่งต่อมรดกอย่างไร ให้ได้ประโยชน์สูงสุด

file

 

การเสียชีวิตเป็นหนึ่งในเรื่องที่ไม่มีใครอยากจะให้เกิดขึ้นโดยเฉพาะกับคนในครอบครัว แต่ทว่าในปัจจุบันการแพร่ระบาดของ COVID-19 ได้คร่าชีวิตคนไปอย่างกระทันหันและไม่ทันได้ตั้งตัว ซึ่งอาจทำให้ยังไม่ทันได้วางแผนการส่งต่อทรัพย์สินให้แก่คนข้างหลัง และอาจส่งผลให้การแบ่งมรดกไม่เป็นไปตามความต้องการ อีกทั้งบางกรณีผู้รับมรดกจะต้องเสียภาษีมรดกอีกด้วย ดังนั้น การวางแผนการส่งต่อมรดกอย่างมีประสิทธิภาพจึงเป็นเรื่องที่ควรให้ความสำคัญในยามที่เรายังมีชีวิตและสุขภาพดีเป็นอย่างยิ่ง

สำหรับวิธีการวางแผนการส่งต่อทรัพย์สินที่มีประสิทธิภาพมากที่สุด คือ การทำพินัยกรรมเพื่อจัดสรรปันส่วนทรัพย์สินที่มีอยู่ก่อนเสียชีวิตให้แก่บุคคลที่ต้องการ ซึ่งหากคำนึงถึงการส่งต่อมรดกอย่างละเอียดแล้ว จะมีภาษีที่เข้ามาเกี่ยวข้อง คือภาษีการรับมรดก โดยภาษีการรับมรดกเป็นภาษีที่เก็บจากผู้รับมรดกสำหรับมรดกที่ได้รับมาจากเจ้ามรดกแต่ละรายรวมกัน ซึ่งเมื่อหักด้วยหนี้สินแล้วเกิน 100 ล้านบาทจะต้องเสียภาษีส่วนเกิน 100 ล้านบาทนั้นในอัตราภาษี 5% หากผู้รับมรดกเป็นบุพการีหรือผู้สันดาน หรือ อัตราภาษี 10% หากเป็นบุคคลอื่น

ปัจจุบันในประเทศไทยมีเครื่องมืออย่างประกันชีวิตที่สามารถใช้เพื่อบริหารการส่งต่อทรัพย์สินที่มีอยู่แล้วหรือมรดกได้ โดยในวันนี้จะยกกรณีตัวอย่างของการวางแผนเบื้องต้นให้ดูกัน ตัวอย่างเช่น หากเจ้ามรดกอายุ 35 ปี และตั้งใจที่จะส่งต่อมรดกให้แก่บุตร 1 คน จำนวน 250 ล้านบาท โดยบุตรจะต้องเสียภาษีการรับมรดกในอัตรา 5% สำหรับส่วนที่เกิน 100 ล้านบาท ซึ่งส่วนที่ต้องเสียมรดกเท่ากับ 150 ล้านบาท คิดเป็นภาษี 7.5 ล้านบาท ซึ่งหากไม่ได้วางแผนมรดกไว้ก่อน บุตรจะได้รับมรดกทั้งสิ้น 242.5 ล้านบาท ซึ่งต่ำกว่าที่เจ้ามรดกตั้งใจไว้ที่ 250 ล้านบาท

แผนภาพที่ 1: กรณีไม่วางแผนการส่งต่อมรดก (หน่วย:ล้านบาท )

file

ที่มา: TISCO Wealth ธนาคารทิสโก้

แต่หากเจ้ามรดกได้วางแผนการส่งต่อมรดกมูลค่า 250 ล้านบาท และใช้ประกันชนิดคุ้มครองลูกค้าสินทรัพย์สูงมาวางแผนการส่งต่อมรดกด้วยการจ่ายเบี้ยประกันจำนวนที่ใกล้เคียงกับภาษีที่ผู้รับมรดกจะต้องเสียภาษีอยู่แล้ว โดยหากใช้ข้อมูลผู้ทำประกันเป็นเพศชาย อายุ 35 ปี สุขภาพดี จ่ายเบี้ยประกันชนิดคุ้มครองลูกค้าสินทรัพย์สูงแบบจ่ายเบี้ย 10 ปี คุ้มครองถึงอายุ 99 ปี ซึ่งคิดเป็นค่าเบี้ยประกันรวม 6.7 ล้านบาท (น้อยกว่าภาระภาษีการรับมรดก) จะได้ความคุ้มครองสูงถึง 15 ล้านบาท*

 นั่นหมายความว่าเงินที่จะส่งต่อให้บุตรจะเหลือที่  243.3 ล้านบาท เนื่องจากหักจำนวนที่ต้องจ่ายค่าเบี้ยประกัน 6.7 ล้านบาทและบุตรจะเสียภาษีในส่วนที่เกิน100 ล้านบาท ซึ่งจะเท่ากับ 143.3 ล้านบาทที่อัตรา 5% จะเท่ากับ 7.165 ล้านบาทและจะเหลือเพียง 136.135 ล้านบาท ดังนั้น เมื่อรวมมูลค่าทรัพย์สินทั้งหมดที่บุตรจะได้จะเท่ากับ 100 ล้านแรก บวกกับส่วนเกิน 100 ล้านบาทหลังหักภาษีที่เหลือ 136.135  ล้านบาท และมูลค่าสินไหมมรณกรรมจากประกันอีก 15 ล้านบาท ทำให้จะได้รับมรดกหลังหักภาษีทั้งสิ้นรวม 251.13 ล้านบาท ซึ่งมากกว่ามูลค่าที่เจ้ามรดกตั้งใจจะให้ตั้งแต่แรกอีกด้วย จะเห็นได้ว่าหากวางแผนการส่งต่อมรดกไว้ล่วงหน้าจะสามารถรักษาความมั่งคั่งที่ต้องการส่งต่อให้แก่บุตรได้

แผนภาพที่ 2: กรณีวางแผนการส่งต่อมรดก (หน่วย:ล้านบาท)

file

ที่มา: TISCO Wealth ธนาคารทิสโก้

นอกจากนี้เงินสินไหมมรณกรรมที่ผู้รับผลประโยชน์จะได้จากประกันชีวิตนั้นไม่ต้องเสียภาษีใดๆ เพราะไม่นับเป็นสินทรัพย์ที่มีก่อนเสียชีวิต แต่เป็นเงินที่บริษัทประกันสัญญาจะมอบให้ผู้รับผลประโยชน์หากผู้เอาประกันภัยเสียชีวิตและไม่ต้องเข้ากระบวนการจัดสรรมรดกอีกด้วย จึงมีความได้เปรียบเมื่อนำไปใช้วางแผนการเงิน

แต่อย่างไรก็ดี การทำประกันชีวิตชนิดคุ้มครองลูกค้าสินทรัพย์สูงก็มีเงื่อนไขบางประการที่ต้องพิจารณาคือความคุ้มค่าของเงินเอาประกันต่อเบี้ยประกัน โดยความคุ้มค่าจะยิ่งสูงเมื่อทำตอนอายุน้อยๆ และมีสุขภาพแข็งแรง ดังนั้น หากใครสนใจประกันชนิดนี้ควรวางแผนในช่วงที่อายุยังไม่สูงมากจะได้เปรียบที่สุด

 

=======

*อ้างอิงจากประกัน TISCO My Gift Prestige

===========================================

 

เผยแพร่ครั้งแรกที่คอลัมน์ Invest in Health ใน Wealthy Thai

บทความล่าสุด

Biotech หุ้นนวัตกรรมยายุคใหม่ ที่ต้องมีไว้ในพอร์ต

โพสต์เมื่อ 26 เมษายน 2567

หากนึกถึงหุ้นกลุ่ม Healthcare นักลงทุนส่วนใหญ่มักนึกถึงบริษัทยาขนาดใหญ่ที่มีความมั่นคงแต่มีการเติบโตที่ช้า ทำให้นักลงทุนมักเหมารวมหุ้นกลุ่ม Healthcare เป็นหุ้นกลุ่ม Defensive ที่ไม่ได้คาดหวังผลตอบแทนจากการลงทุนที่สูงและเป็นเพียงแค่หลุมหลบภัยในช่วงที่ตลาดหุ้นผันผวนเท่านั้น

อ่านต่อ >>

หุ้นกลุ่ม Healthcare ทวงคืนตำแหน่ง Top Performer บนเวทีหุ้นโลก

โพสต์เมื่อ 26 เมษายน 2567

ตั้งแต่ช่วงปลายปีที่ผ่านมา หุ้นกลุ่ม Healthcare กลับมาสร้างผลตอบแทนได้อย่างโดดเด่น จากแนวโน้มการเติบโตที่คาดว่าจะสูงกว่าตลาดโดยรวมในปีนี้ ในขณะที่ยังซื้อขายในระดับราคาที่ไม่แพงโดยเฉพาะเมื่อเทียบกับกลุ่มเทคโนโลยีที่เติบโตในระดับใกล้เคียงกัน ทำให้ปีนี้มีโอกาสสูงที่กลุ่ม Healthcare จะกลับมาทวงคืนตำแหน่ง Top Performer บนเวทีตลาดหุ้นโลก

อ่านต่อ >>

ปรับพอร์ตสร้างกำไร ขายหุ้นสหรัฐฯ-ญี่ปุ่น เบนเข็มลงทุน “หุ้น Asia ex Japan”

โพสต์เมื่อ 26 เมษายน 2567

ในปี 2024 เศรษฐกิจโลกภาพรวมเติบโตดีกว่าคาด โดยภูมิภาคที่จะได้รับประโยชน์สูงสุดคือ ภูมิภาคเอเชีย เนื่องจากเป็นกลุ่มประเทศที่จะเติบโตได้ดีในช่วงเศรษฐกิจฟื้นตัว และยังเป็นปีแห่งโอกาส

อ่านต่อ >>