Lively Bolivia

นิตยสาร Trust ฉบับที่ 58 | คอลัมน์ Horizon

file

โบลิเวีย (Bolivia) ประเทศที่ยังคงทะนุถนอมวัฒนธรรมและวิถีชีวิตความเป็นอยู่แบบเดิมๆ เอาไว้ได้อย่างเหนียวแน่นที่สุดในอเมริกาใต้ แน่นอนว่าเรายังคงเห็นภาพผู้คนที่เดินไปมาบนท้องถนนห่อห่มด้วยอาภรณ์แบบดั้งเดิม หญิงชาวโบลิเวียยังคงนุ่งกระโปรงทรงสุ่มใหญ่ มีผ้าคลุมไหล่ ถักเปียสองข้าง และสวมหมวกทรงสูงใบเล็กๆ ไว้บนศีรษะ

แม้ช่วงเวลานี้การเดินทางอาจไม่ใช่เรื่องง่ายสักเท่าไร แต่การหาข้อมูล เตรียมแพลนไว้ ก็ช่วยเติมไฟในการทำงานหรือสร้างแรงบันดาลใจให้กับการใช้ชีวิตในแต่ละวันได้ไม่น้อย แล้วยิ่งใครกำลังมองหาการท่องเที่ยว ในประเทศแถบละตินอเมริกาที่อบอวลไปด้วยมนต์เสน่ห์ของธรรมชาติและวัฒนธรรมอันน่าหลงใหล บอกได้เลยว่า จงมุ่งหน้าสู่โบลิเวีย ประเทศที่คุณจะต้องตกหลุมรักแน่นอน

La Paz, The Highest Capital City in The World

โบลิเวีย ประเทศที่หลายคนอาจเคยได้ยินชื่อ แต่ด้วยเขตแดนอันไกลโพ้นถึงอเมริกาใต้ ทำให้น้อยคนนักจะรู้ว่าประเทศนี้มีอะไรน่าสนใจบ้าง ความเป็นเอกลักษณ์หนึ่งของโบลิเวีย คือการมีเมืองหลวงถึง 2 แห่ง นั่นคือ ซูเคร (Sucre) เมืองหลวงด้านการปกครอง ซึ่งเป็นที่ตั้งของหน่วยงานยุติธรรม เป็นเมืองที่มีกลิ่นอายของสถาปัตยกรรมแบบยุโรปยุคเก่าที่ได้รับการขึ้นทะเบียนมรดกโลกในปี 1990 และอีกเมืองหลวงที่เราจะพาทุกท่านไปท่องเที่ยวกันก็คือ ลาปาซ (La Paz) เมืองหลวงด้านการบริหาร ซึ่งเป็นที่ตั้งของหน่วยงานสำคัญของรัฐบาล โดยลาปาซอยู่สูงกว่าระดับน้ำทะเลถึง 3,500 เมตร จนได้รับการขนานนามว่าเป็นเมืองหลวงที่สูงที่สุดในโลก และยังได้รับเลือกให้เป็น 1 ใน 7 เมืองมหัศจรรย์ของโลกปี 2014 ทั้งยังมีสนามบินเอล อัลโต (El Alto Airport) ซึ่งครองสถิติสนามบินที่สูงที่สุดในโลก ที่รอต้อนรับทุกคนด้วยความสูงเหนือระดับ 4,000 เมตร

file

หากสังเกตให้ดี ความสวยงามมหัศจรรย์ของโบลิเวียได้เผยโฉมให้เห็นก่อนที่เครื่องบินจะร่อนลงที่ลาปาซเสียอีก เพราะต้องบินผ่านหุบเขาดวงจันทร์ (Moon Valley) หรือ วัลเลย์ เดอ ลา ลูนา (Valle de la Luna) ที่มีสีสันและพื้นผิวเต็มไปด้วยเวิ้งหินต่างๆ คล้ายพื้นผิวบนดวงจันทร์ และเมื่อใกล้ถึงลาปาซก็จะเห็นภาพความงามของภูเขาไฟอิลลิมานี (Illimani) หรือที่ชาวท้องถิ่นเรียกว่า ผู้พิทักษ์แห่งลาปาซ (Guardian of La Paz) ซึ่งสูงเป็นอันดับ 2 ของโบลิเวียนั้นตั้งตระหง่านเป็นแบ็กกราวน์ของเมือง ที่มองแล้วสวยงามราวกับภาพวาด ซึ่งใครที่เป็นสายปีนเขาก็สามารถเตรียมอุปกรณ์เพื่อไปพิชิตภูเขาไฟนี้ได้ โดยสามารถปีนได้ตลอดทั้งปีและใช้เวลาในการไปพิชิตทริปนี้ 4 วัน

ลาปาซเป็นเมืองในหุบเขา ตัวเมืองจึงมีลักษณะเป็นแอ่งกระทะที่ถูกโอบล้อมด้วยภูเขาสูง อาคารบ้านเรือน โบสถ์วิหารของที่นี่จึงเลื้อยไล่ไปตามไหล่เขา ซึ่งมีอิฐสีส้ม และสีต่างๆ เล่นสีสวยงามกระจัดกระจายไปทั่วหุบเขา นี่คือเมืองวัฒนธรรมที่มีอาคารยุคอาณานิคมทิ้งไว้ให้ดูต่างหน้า มีสีสันของตลาด และรายล้อมไปด้วยพิพิธภัณฑ์ โดยมีจัตุรัสซานฟรานซิสโก (Plaza San Francisco) เป็นจุดศูนย์กลางของเมือง และเป็นจุดเริ่มต้นที่เหมาะจะสำรวจในลาปาซ ซึ่งมุมนี้จะเผยให้เห็นภาพชีวิตของชาวลาปาซในปัจจุบันได้อย่างคมชัดที่สุด โดยเราจะได้เห็นหญิงชาวพื้นเมืองที่เรียกกันว่า อัยมารา (Aymara) พากันเดินเหินไปมาบนจัตุรัสแห่งนี้ พวกเธอยังห่มคลุมไว้ด้วยอาภรณ์แบบดั้งเดิม ไม่ว่าจะเดินเร่ไปทางไหนก็เรียกความสนใจจากนักท่องเที่ยวแทบทุกคน หญิงชาวอัยมาราเชื่อว่าการมีสะโพกใหญ่สะท้อนถึงความมั่งคั่ง จึงใส่กระโปรงซ้อนกันหลายชั้น ซึ่งถือเป็นหนึ่งในเอกลักษณ์ของลาปาซก็ว่าได้ นอกจากจะใส่กระโปรงซ้อนกันหลายชั้นแล้ว พวกเธอยังมีผ้าคลุมไหล่ที่ปักมือด้วยลวดลายงดงามและประณีต แต่ที่โดดเด่นและเป็นเอกลักษณ์อีกอย่างหนึ่งก็คือ หมวกทรงสูงที่ต้องใส่กันทุกคน 

เมื่ออยู่มุมนี้ของลาปาซ ต้องไม่พลาดแวะเข้าไปที่โบสถ์ซานฟรานซิสโก ที่สร้างขึ้นตั้งแต่กลางศตวรรษที่ 16 แต่เกิดพายุหิมะถล่มครั้งใหญ่เมื่อช่วงศตวรรษที่ 17 จึงได้มีการบูรณะขึ้นใหม่ในช่วงกลางศตวรรษที่ 18 ที่ยังคงไว้ด้วยสถาปัตยกรรมและหินสลักอันวิจิตรงดงาม จากนั้นเดินเลี้ยวไปยังถนนข้างโบสถ์ที่ชื่อ ซาการ์นากา(Sagarnaga) ถนนที่ทอดตัวอยู่บนเนินเขา ซึ่งตลอดทางเต็มไปด้วยแผงขายของที่ระลึก และหากเดินเลี้ยวขวาจากถนนเส้นนี้ไปตามตรอกแคบๆ ก็จะเจอกับตลาดแม่มด (Witches Market) แม้ที่นี่จะไม่ได้เป็นตลาดใหญ่โตนัก แต่มาถึงแล้วก็ต้องแวะไปชม เพราะเป็นตลาดที่จะทำให้เราตื่นตาตื่นใจไปกับวัฒนธรรมท้องถิ่นของคนที่นี่ ทั้งยังมีสมุนไพรพื้นเมือง และตัวอ่อนของลามะตากแห้งแขวนขายเต็มไปหมด โดยชาวอัยมารามักจะมาซื้อเอาไว้สำหรับใช้ประกอบพิธีกรรมตามความเชื่อ ของพวกเขา 

อีกมุมหนึ่งของลาปาซที่คึกคักไม่แพ้กันคือ จัตุรัสมูริลโย (Plaza Murillo) ที่มีทั้งมหาวิหารประจำเมือง (Cathedral) ทำเนียบประธานาธิบดี และอาคารรัฐสภา เรียกว่าเป็นจัตุรัสประจำเมืองก็ว่าได้ เพราะแวดล้อมด้วยอาคารสำคัญทั้งสิ้น นอกจากนี้ยังมีถนนเฮน(Calle Jaen) ถนนที่ใครๆ ก็เรียกว่าเป็นถนนสายสุนทรียของลาปาซ เพราะมีพิพิธภัณฑ์ให้เลือกเข้าชมหลายแห่ง จนถูกเรียกว่าเป็นถนนสายพิพิธภัณฑ์ เข่น พิพิธภัณฑ์ทองที่จัดแสดงวัสดุและเครื่องประดับที่ทำจากทองคำในยุค ซิริป้า อินคา ฯลฯ พิพิธภัณฑ์คาซา เดอ มูริลโย (Casa de Murillo) พิพิธภัณฑ์ท้องถิ่นที่เก็บรวบรวมภาพวาดของโคโลเนีย เฟอร์นิเจอร์ และของตกแต่งบ้าน ส่วนอาคารบ้านเรือนในสมัยอาณานิคมที่อยู่บนถนนสายนี้ได้รับการดูแลรักษาไว้เป็นอย่างดี และที่แน่ๆ ถนนสายนี้นั้นอุดมไปด้วยสีสันที่ฉูดฉาดเหลือเกิน และนี่คือลาปาซเมืองหลวงของโบลิเวีย อาจจะไม่ทันสมัยเหมือนเมืองหลวงหลายๆ แห่งในโลกนี้ แต่พูดเลยว่ามีเสน่ห์ท่วมเมือง

file
file

Uyuni, The Largest and the Most Beautiful Saltwater in The World

โบลิเวีย ประเทศสุดเอ็กซ์ซอติกแห่งละตินอเมริกาที่ไม่ได้มีแค่เมืองสวยๆ ที่ตั้งอยู่บนระดับความสูงหลายพันเมตร อย่างลาปาซเท่านั้น แต่อย่างที่รู้กันโบลิเวียยังมีทะเลสาบติติกากา (Lake Titicaca) ทะเลสาบที่ใหญ่ที่สุดในทวีปอเมริกาใต้และสูงที่สุดในโลก โดยมีความสูงจากระดับน้ำทะเลเฉลี่ย 3,810 เมตร ซึ่งความพิเศษของทะเลสาบแห่งนี้ นอกจากการล่องเรือไปชมความสวยงามของเกาะน้อยใหญ่ตามธรรมชาติโดยรอบแล้ว ยังมีเสน่ห์อันเย้ายวนของเกาะลอยที่ชาวอูรอส (Uros Tribe) ชนเผ่าพื้นเมืองที่อาศัยอยู่บริเวณนี้ได้สร้างขึ้นจากต้นโทโทรา (Totora) ที่พบได้มากบนเกาะ สะท้อนให้เห็นวิถีชีวิตความเป็นอยู่และภูมิปัญญาท้องถิ่นของที่นี่ได้เป็นอย่างดี 

file

นอกจากนี้ยังมีอีกหนึ่งสถานที่มหัศจรรย์อันโด่งดังที่ต้องไปเยือนให้เห็นด้วยตาตัวเองสักครั้ง คือ ซาลาร์ เดอ อูยูนี (Salar de Uyuni) ทะเลเกลือที่ใหญ่และสวยที่สุดในโลก ซึ่งอยู่ในเมืองอูยูนี (Uyini) ที่สูงจากระดับน้ำทะเลถึง 3,700 เมตร อูยูนีเป็นเมืองเล็กๆ ที่มีถนนแค่ไม่กี่สาย แต่กลับมีตัวเลขนักเดินทางมาเยือนในแต่ละปีหลายหมื่นคน สวนทางกับชาวเมืองของที่นี่ที่มีแค่หมื่นกว่าคนเท่านั้น โดยทัวร์ทะเลเกลือของทุกเจ้าจะออกสตาร์ทที่อูยูนีทุกวันในเวลา 10.30 น. เพราะส่วนใหญ่นักเดินทางสารพัดสัญชาติจะใช้เวลาในช่วงเช้าในการเดินสำรวจเมืองก่อน ใจกลางอูยูนีมีหอนาฬิกาเล็กๆ แต่น่าเสียดายที่ดูเหมือนนาฬิกานั้นจะหยุดเดินไปนานแล้ว ทั้งยังมีจัตุรัสเล็กๆ เอาไว้ให้ทั้งชาวเมืองและนักเดินทางได้มานั่งผึ่งแดด มีพิพิธภัณฑ์เอาไว้ให้สืบสาวเรื่องราวในอดีตอยู่เหมือนกัน ส่วนร้านรวงขายอาภรณ์กันหนาวและของที่ระลึกก็พอจะมีให้เลือกจับจ่ายกันบ้าง

เมื่อเริ่มต้นทัวร์ทะเลเกลือ จุดแรกจะอยู่ห่างจากอูยูนีไม่ถึง 3 กิโลเมตร ที่นั่นเป็นสุสานรถไฟ (Train Cemetery) ซึ่งทอดตัวอยู่กลางทุ่งแล้ง นั่นเพราะในอดีตรถไฟได้ถูกนำเข้ามาใช้ในกิจการเหมืองแร่ แต่พอเศรษฐกิจย่ำแย่ ธุรกิจเหมืองแร่ก็ถูกยกเลิก รถไฟพวกนี้จึงถูกปล่อยทิ้งร้างจนถึงทุกวันนี้ นี่ถ้ารถไฟยังวิ่งอยู่ก็น่าจะอายุราวๆ 130 ปี จากนั้นรถจะพามุ่งหน้าต่อไปยังศูนย์ผลิตเกลือโคลชานิ (Colchani) แหล่งผลิตเกลือที่ใช้กรรมวิธีดั้งเดิมตามแบบฉบับของชาวโบลิเวีย ที่เราจะได้เห็นกระบวนการผลิตตั้งแต่การตากเกลือการเก็บเกลือ ไปจนถึงการขนส่ง และเมื่อรถมุ่งหน้าลึกเข้าไปในทะเลเกลือ คราวนี้ก็จะพบว่ารอบตัวคือสีขาวโพลนอย่างแท้จริง จุดแวะพักแรกอยู่ที่ โมโตเนส เด ซอล (Montones de Sal) ทุ่งเกลือที่ชาวบ้านจะเอาเกลือมากองไว้เป็นกองๆ เพื่อตากจากนั้นจะเอาพลั่วมาโกยเข้ารถบรรทุกกลับไปที่โคลชาน และยิ่งขับรถลึกเข้าไปก็จะยิ่งได้สัมผัสกับผลึกเกลือสีขาวอันกว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตาที่มีวิวท้องฟ้าใสจรดกับพื้นเกลือหลอมรวมกันได้อย่างเป็นหนึ่งเดียว ครอบคลุมพื้นที่กว่า 1 หมื่นตารางกิโลเมตร และไม่ว่าจะมาเยือนในฤดูไหน ก็จะได้พบกับภาพสะท้อนอันงดงามและยิ่งใหญ่จนได้รับการขนานนามว่า นี่คือกระจกเงาบานใหญ่ที่สุดในโลก ซึ่งเงาสะท้อนของทุ่งเกลือนี้เองอาจชวนให้รู้สึกว่าเหมือนกำลังอยู่ในโลกอีกใบ 

file
file

ย้อนไปเมื่อประมาณ 40,000 ปีที่แล้ว ซาลาร์ เดอ อูยูนี เป็นส่วนหนึ่งของทะเลสาบน้ำเค็มที่ตั้งอยู่ในพื้นที่สูงกว่าระดับน้ำทะเล 3,560 เมตร ซึ่งอยู่บนที่ราบสูงอัลติพลาโน (Altiplano) โดยเป็นส่วนหนึ่งของเทือกเขาแอนดีส (Andes) และมุมนี้ไม่มีทางให้ระบายน้ำออก เมื่อน้ำไหลลงจากภูเขาลงมารวมกันนานเข้าจึงเกิดเป็นทะเลสาบขนาดใหญ่ที่มีความเค็ม จนเมื่อหมื่นกว่าปีที่ผ่านมา หลังจากสภาพอากาศเริ่มแห้งแล้ง ฝนไม่ตกตามฤดูกาลพอถูกแสงอาทิตย์มากเข้าน้ำก็ระเหยไป เหลือไว้แค่ผลึกเกลือที่ค่อยๆ ก่อตัวหนาขึ้น จนกลายมาเป็นทะเลเกลืออย่างทุกวันนี้ 

นอกจากขับรถไปชมทะเลเกลือผืนใหญ่แล้ว อีกหนึ่งสถานที่ไฮไลท์ที่ไม่ควรพลาด คือ เกาะปลา หรือเกาะอินคาฮัวซิ (Incahuasi Island) อยู่ห่างจากอูยูนีราว 100 กิโลเมตร เป็นเกาะหินที่ตั้งอยู่กลางทะเลเกลือมีเนินหินรูปร่างเหมือนปลาและเต็มไปด้วยต้นกระบองเพชร ซึ่งเกาะปลานี้เกิดจากการทับถมของซากปะการัง นานวันเข้าก็กลายเป็นเกาะ ในอดีตชาวอินคาที่เดินทางผ่านทางนี้เพื่อไปแลกเปลี่ยนซื้อขายสินค้าจะแวะพักที่นี่ ก่อนจะเดินทางข้ามพรมแดนไปที่ประเทศชิลี ซึ่งอยู่ห่างออกไปราว 150 กิโลเมตรถ้าหากใครอยากจะมีประสบการณ์พักกลางทุ่งทะเลเกลือ ก็มีพาลาสิโอ เดอ ซาล (Palacio De Sal) โรงแรมเกลือที่สร้างขึ้นจากผลึกเกลือทั้งหมด นับตั้งแต่โครงสร้างไปยันของตกแต่ง ไม่ว่าจะเป็น ผนัง เพดาน เตียง โต๊ะเก้าอี้ ฯลฯ ที่ถูกเนรมิตให้สวยงาม สะดุดตา คล้ายกับกระท่อมน้ำแข็ง และเมื่อเปิดหน้าต่างห้องพักออกไป ก็สามารถชมความงามของทะเลเกลือได้ตลอดทั้งวัน

ทั้งหมดนี้จึงเป็นสิ่งที่ดึงดูดให้เหล่าบรรดานักเดินทางผู้หลงใหลจุดหมายปลายทางสุดเอ็กซ์ซอติกนั้น ต่างพากันมุ่งหน้ามาทะเลเกลือที่ใหญ่ที่สุดในโลกแห่งนี้ จนเว็บไซต์ Roughguide ยกให้เป็น 1 ใน 25 สิ่งมหัศจรรย์
ของโลก

file

Copacabana, The Most Charming Small Town

บนรอยต่อระหว่างประเทศโบลิเวียกับประเทศเปรู มีทะเลสาบติติกากาเป็นฮอตสปอตในอเมริกาใต้ ทำให้เมืองบนชายขอบของโบลิเวียที่ชื่อ โคปาคาบานา (Copacabana) ซึ่งอยู่ระหว่างทางไม่เคยขาดแคลนนักเดินทางเลย โดยตลอดระยะทางกว่า 140 กิโลเมตรจากลาปาซไปสู่เมืองโคปาคาบานา คือฉากธรรมชาติอันสวยงาม เมื่อมาถึงจะพบว่าเป็นเมืองเล็กๆ ที่แอบคึกคัก บรรดานักเดินทางมักจะมุ่งหน้าไปชมวิหารแห่งโคปาคาบานา (Copacabana Cathedral) ที่สร้างตั้งแต่ศตวรรษที่ 17 เมื่อเดินเข้าสู่ชายคาวิหารจะพบว่าด้านในนั้นช่างงดงามน่าอัศจรรย์ยิ่งนัก การแกะสลักทำได้อย่างประณีตละเอียดลออ ทั้งรูปเคารพของนักบุญและแท่นบูชา พอเดินไปด้านหลังแท่นบูชาจะมีรูปเคารพนักบุญองค์อุปถัมภ์ประจำเมืองตั้งอยู่เป็นสง่า นั่นคือ แม่พระแห่งกันเดลาเรีย หรือในอีกชื่อคือ แม่พระแห่งโคปาคาบานา บรรดานักแสวงบุญมักเดินทางมาจากแดนไกล
เพื่อมาสักการะรูปเคารพนี้ 

file

ชาวโบลิเวียมักนิยมเดินทางมาสักการะแม่พระแห่งกันเดลาเรีย เพราะเชื่อว่าจะนำความโชคดีมาให้ ด้านในของมหาวิหารยังมีพิพิธภัณฑ์ ซึ่งมีภาพจิตรกรรมบอกเล่าเรื่องราวทางศาสนา รวมถึงภาพจิตรกรรมและงานศิลปะที่น่าสนใจอีกหลายชิ้น แต่ที่ได้รับความนิยมจากนักเดินทางคือ คอลเลกชันนกกระเรียนโอริกามิที่หญิงชาวญี่ปุ่นนำมาสักการะ 

เมื่อออกจากวิหารประจำเมือง ลองไปที่เนินเขาเซอร์โร คัลบาริโอ (Cerro Calvario) สำหรับชาวเมืองพวกเขามักเดินขึ้นไปเพื่อขอพรและขอขมาจากพระเจ้าของพวกเขา บนเนินเขาแห่งนี้มีวิวพาโนรามาอันงดงามรออยู่ที่ปลายทาง เพราะเมื่อขึ้นมาถึงจุดสูงสุดของเนินเขา จะได้เห็นเวิ้งอ่าว ริ้วคลื่น และทะเลสาบติติกากาอย่างเต็มตา หากมองอีกด้านหนึ่งก็จะเห็นอาคารบ้านเรือนของชาวโคปาคาบานาที่เลื้อยไล่ไปบนเนินเขาหลายลูก

และนี่คือ 3 เมืองสวยในโบลิเวีย ที่จะทำให้นักเดินทางสายเอ็กซ์ซอติกได้ดื่มด่ำไปกับวัฒนธรรม ธรรมชาติ และวิถีชีวิตผู้คนที่น่าตื่นตาตื่นใจ

file
file
file

Travel’s Guide

  • ภูมิประเทศเกือบครึ่งของโบลิเวียอยู่บนแนวเทือกเขาแอนดีส ซึ่งอยู่สูงจากระดับน้ำทะเลมาก ทำให้ผู้มาเยือนอาจเกิดอาการแพ้ที่สูง หรือ Altitude Sickness ได้ ดังนั้น จึงควรเรียนรู้วิธีปฏิบัติตัวเพื่อเตรียมสุขภาพให้พร้อมก่อนออกลุย เช่น ก่อนถึงโบลิเวีย 2 วัน ควรดื่มน้ำเยอะๆ สูดหายใจเข้าลึกๆ และควรเตรียมยาไดอามอกซ์ที่ช่วยในการบรรเทาอาการแพ้ที่สูงติดไปด้วย
  • และเมื่อมาถึงที่พัก ควรพักผ่อนก่อนเพื่อให้ร่างกายได้ปรับตัว ซึ่งที่พักเกือบทุกแห่งในโบลิเวียจะมีชาโคคาหรือใบโคคาสด พร้อมกาต้มน้ำไว้ให้ในห้อง ให้เราเด็ดใบโคคาใส่น้ำร้อน แช่ซักพักจนสีน้ำเปลี่ยน แล้วจึงนำมาจิบทีละนิด จะช่วยบรรเทาอาการแพ้ที่สูงและทำให้ร่างกายปรับตัวคุ้นชินกับความสูงได้
  • การเดินทางมาโบลิเวียต้องใช้วีซ่า (Visa on Arrival) และมีการเดินทางที่อาจจะซับซ้อนหน่อย เพราะไม่มีเที่ยวบินตรงจากกรุงเทพฯ ควรบินไปตั้งหลักที่อเมริกาใต้ก่อน จากนั้นค่อยหาไฟลต์เข้าลาปาซ เช่น บินไปชิลี โคลอมเบีย หรือเปรูก่อน แล้วค่อยหาเที่ยวบินต่อไปโบลิเวีย
  • โบลิเวียเปิดประเทศให้ท่องเที่ยวแล้ว สามารถตรวจสอบข้อมูลก่อนออกเดินทางได้ที่ www.embassybangkok.com/bolivian/