โอกาสลงทุนในตลาด Emerging เมื่อเศรษฐกิจกลับขามาฟื้นตัวขึ้น
นิตยสาร Trust ฉบับที่ 68 | คอลัมน์ Asset Allocation
เข้าสู่ปี 2024 เศรษฐกิจสหรัฐฯ ไม่เพียงรอดพ้นภาวะถดถอย (Recession) แต่กลับขยายตัวสูงถึง 2.5% ในปี 2023 ในขณะที่ตัวเลขเศรษฐกิจในเดือนมกราคม-กุมภาพันธ์ ยังคงฟื้นตัวขึ้น ทั้งตลาดแรงงาน และภาคการบริโภคซึ่งเป็นแรงขับเคลื่อนหลักของเศรษฐกิจ ส่งผลให้นักเศรษฐศาสตร์ (Bloomberg Consensus) ปรับขึ้นคาดการณ์การเติบโตของเศรษฐกิจสหรัฐฯ ปีนี้ ขึ้นจากราว 1% เป็น 2.1% เศรษฐกิจมีแนวโน้มที่จะเติบโตสูงต่อเนื่องในปีนี้
ตลาดหุ้นกลุ่ม Emerging จะกลับขึ้นมานำตลาด Developed
ในภาวะที่เศรษฐกิจกำลังเป็นขาฟื้นตัวขึ้น ตลาดหุ้นในกลุ่มประเทศกำลังพัฒนา (Emerging Markets: EM) มักจะมีการปรับขึ้นเร็วกว่าตลาดหุ้นในกลุ่มประเทศพัฒนาแล้ว (Developed Markets: DM) จากโครงสร้างเศรษฐกิจที่พึ่งพิงการส่งออกเป็นหลัก ซึ่งเมื่อความต้องการบริโภคของโลกฟื้นกลับมา เศรษฐกิจภายในประเทศจะเร่งตัวขึ้นแรง
ถึงแม้ตลาดหุ้นในกลุ่ม Emerging Markets โดยเฉพาะเอเชียจะฟื้นตัวขึ้นมาแล้วในช่วง 2-3 เดือนที่ผ่านมา แต่หากเทียบกับการปรับตัวขึ้นในอดีต ยังนับว่าน้อยมาก ยกตัวอย่าง 3 ช่วง ได้แก่ ช่วงที่ราคาน้ำมันฟื้นตัวขึ้นในปี 2016 ช่วงที่หลายประเทศเริ่มคลายมาตรการควบคุมการระบาดของ COVID-19 ในปลายปี 2020 และช่วงที่จีนทยอยกลับมาเปิดประเทศในปลายปี 2021 ตลาดหุ้นในกลุ่ม Emerging Markets มักจะฟื้นตัวขึ้น (Outperform) เร็วกว่าตลาดหุ้นในกลุ่ม Developed Markets มากถึง 5-10%
จับตาทิศทางนโยบายการเงิน และการเลือกตั้ง ปธน.สหรัฐฯ
เศรษฐกิจที่มีแนวโน้มฟื้นตัวขึ้น ทำให้ความเสี่ยงที่เศรษฐกิจจะเข้าสู่ Recession ลดลง ซึ่งนั่นหมายความว่าความเสี่ยงที่ตลาดหุ้นจะมีการปรับฐานที่รุนแรงย่อมน้อยลงตามไปด้วย กระแสเงินทุนจะไหลเข้าตลาดที่มีโอกาสให้ผลตอบแทนสูงขึ้น ถึงแม้จะมีความเสี่ยงสูงมากขึ้นก็ตาม (High Risk, High Return) เช่น ในตลาดหุ้นกลุ่ม Emerging Markets
โดยปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญต่อตลาดหุ้นกลุ่ม Emerging Markets ในปี 2024 มี 2 ประเด็น ดังนี้
ประเด็นแรก ความเสี่ยงจากนโยบายการเงินของประเทศที่เป็นผู้กำหนดกระแสเงินทุนโลก อย่างสหรัฐฯ โดยเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวขึ้น อาจกลับกลายเป็นปัจจัยหนุนให้อัตราเงินเฟ้อเร่งตัวขึ้น จนนโยบายการเงินอาจยังไม่ผ่อนคลายลงเร็วตามคาด ซึ่งในประเด็นนี้ เรามองว่าในกรณีเลวร้ายสุด คือ Fed อาจยังคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ในระดับสูงในปีนี้ แต่ไม่ถึงกับจะกลับไปขึ้นดอกเบี้ย เนื่องจากภาวะนโยบายการเงินในปัจจุบันนับว่าเข้มงวดแล้ว เห็นได้จากระดับอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่อยู่สูงกว่าอัตราเงินเฟ้อเป็นอย่างมาก การคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ในระดับสูงเป็นเวลานาน น่าจะเพียงพอที่จะสกัดเงินเฟ้อ โดยที่ Fed ไม่จำเป็นต้องปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพิ่มเติม ทำให้ความเสี่ยงจากประเด็นนี้อาจไม่ได้น่ากังวลมากนัก
ประเด็นที่สอง ความเสี่ยงจากการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ซึ่งจะจัดขึ้นในเดือนพฤศจิกายนนี้ แต่อาจมีแรงกดดันในระหว่างนั้น จากนโยบายประชานิยมที่สนับสนุนการผลิตสินค้าในประเทศ และการกีดกันการค้าระหว่างประเทศ โดยเฉพาะจากอดีต ปธน. Donald Trump ซึ่งเคยขึ้นภาษีนำเข้าจากนานาประเทศ โดยเฉพาะจากจีนจนเกิดเป็นสงครามการค้า (Trade War) ในช่วงปี 2017-2019 อย่างไรก็ดี ในช่วงที่มีประเด็นกีดกันการค้าดังกล่าว ตลาดหุ้นกลุ่ม Emerging Markets ยังปรับตัวขึ้นได้ดี ในเปอร์เซ็นต์ที่สูงกว่าประเทศส่วนใหญ่ใน Developed Markets ทำให้เราประเมินผลกระทบจากนโยบายกีดกันการค้าค่อนข้างจำกัด
Valuation ของหุ้นกลุ่ม Emerging Markets ถูกสุดในรอบหลายสิบปี
ตลาดหุ้นกลุ่ม Emerging Markets มักจะถูกเทรดที่ Valuation ต่ำกว่าตลาดหุ้นกลุ่ม Developed Markets ช่วง 10 ปีที่ผ่านมาถูก Discount ถึง -30% และปัจจุบันถูกเทรดที่ Discount ถึง -36% ถูกสุดในรอบหลายสิบปี
แต่ในช่วงที่เศรษฐกิจโลกฟื้นตัวขึ้น Valuation ของหุ้นกลุ่ม Emerging Markets จะมีมูลค่าเพิ่มขึ้น เหลือ Discount เพียง -25% สะท้อนว่าตลาดกำลังประเมินมูลค่าของหุ้นกลุ่ม Emerging Markets ต่ำเกินไป และสะท้อนโอกาสที่หุ้นกลุ่ม Emerging Markets จะปรับเพิ่มขึ้นในระยะข้างหน้า
โดยหาก Valuation ของหุ้นกลุ่ม Emerging Markets กลับขึ้นมา Discount เท่ากับเฉลี่ยในอดีต จะเทียบเคียงเป็น Upside ถึง +6% หรือหาก Valuation กลับไป Discount เท่าช่วงที่เศรษฐกิจฟื้นตัว จะเทียบเคียงเป็น Upside ถึง +11%
ดังนั้น ในช่วงกลางปี 2024 เรามองว่าตลาดหุ้นกลุ่ม Emerging Markets มีโอกาสกลับมา Outperform ตลาดหุ้นกลุ่มอื่น ๆ จากแนวโน้มเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวขึ้น และ Valuation ที่ถูกมากในปัจจุบัน ในขณะที่ประเด็นความเสี่ยงจากนโยบายการเงินและการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ถึงแม้จะมีความไม่แน่นอนสูง แต่เราคาดว่าผลกระทบน่าจะมีอย่างจำกัดต่อตลาดหุ้น Emerging Markets