file

จัดพอร์ตปลายปี รับ Reflation Mode

นิตยสาร Trust ฉบับที่ 54 | คอลัมน์ Wealth Manager Talk

ตลาดหุ้นในช่วงที่ผ่านมาของปีนี้นับว่าน่าสนใจมาก โดยเฉพาะตั้งแต่ช่วงที่เกิดการแพร่ระบาดของ COVID-19 หุ้นกลุ่ม Megatrends ที่เราแนะนำปรับตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว สวนทางกับภาพเศรษฐกิจโดยรวมอย่างสิ้นเชิง เนื่องจากกลุ่ม Megatrends ไม่ว่าจะเป็น E-commerce, Digital Healthcare, Biotechnology, Education Technology และ Cloud Computing ต่างล้วนสอดคล้องกับสถานการณ์และการใช้ชีวิตที่เปลี่ยนแปลงไปแบบ New Normal

ในขณะที่การรายงานผลประกอบการไตรมาสล่าสุด คือ ไตรมาส 2 ปี 2020 ของบริษัทจดทะเบียนในกลุ่ม Megatrends โดยรวมออกมามีอัตราการเติบโตที่น่าประทับใจ เช่น Amazon บริษัทจดทะเบียนในกลุ่ม E-commerce มีอัตราการเติบโตของกำไรต่อหุ้นกว่า 97% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า สะท้อนให้เห็นถึงพฤติกรรมการจับจ่ายใช้สอยที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วในช่วงที่ COVID-19 กำลังแพร่ระบาด หรือบริษัท Zoom ผู้ให้บริการซอฟต์แวร์ด้านการประชุมออนไลน์ ที่มีรายได้เติบโตถึง 355% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า และในระยะยาวหุ้นกลุ่ม Megatrends เหล่านี้ ยังมีความน่าสนใจอยู่มาก และคาดว่าจะเติบโตได้ในอัตราสูงอย่างไรก็ตาม ต้องยอมรับว่าตลาดหุ้นที่ปรับตัวขึ้นในช่วงที่ผ่านมา ได้รับแรงหนุนจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเป็นหลัก และเป็นการปรับตัวขึ้นแบบกระจุกตัวในหุ้นกลุ่ม Growth Stock โดยเฉพาะกลุ่ม Megatrends  ซึ่งมี COVID-19 เป็นปัจจัยเร่งสำคัญที่ทำให้พฤติกรรมของคนปรับเปลี่ยนไปอย่างทันทีทันใด ส่งผลให้บริษัทเหล่านี้เติบโต อย่างก้าวกระโดด เช่นเดียวกับราคาหุ้นที่ปรับตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยตั้งแต่ต้นปีถึงช่วงสิ้นเดือน ส.ค. ราคาของหุ้นกลุ่ม Global E-commerce ปรับตัวเพิ่มขึ้นกว่า 70% Cloud Computing ปรับตัวเพิ่มขึ้นกว่า 50% Digital Healthcare เพิ่มขึ้นกว่า 40% Education Technology และ Biotechnology ปรับตัวเพิ่มขึ้นเกือบ 20% และหากวัดจากจุดต่ำสุดช่วงที่ COVID-19 เริ่มระบาดอย่างรุนแรงในช่วงเดือน มี.ค. หุ้นกลุ่มเหล่านี้ดีดตัวขึ้นอย่างรวดเร็วในระดับที่หากเป็นช่วงเวลาปกติ อาจต้องใช้เวลาหลายปีกว่าที่ราคาหุ้นจะปรับตัวขึ้นได้มากเท่านี้ เช่นE-commerce ปรับตัวขึ้นกว่า 150% นั่นหมายความว่ามีผู้ลงทุนที่สามารถสร้างผลตอบแทนได้อย่างงดงามในช่วงที่ผ่านมา และพร้อมจะขายทำกำไรหากมีปัจจัยใดๆ ที่ส่งผลต่อการลงทุน

file

 

ภาพเศรษฐกิจและการลงทุนในช่วงที่ผ่านมานับว่าอยู่ในช่วง Easing Mode เป็นช่วงที่ธนาคารกลางประเทศต่างๆ เร่งผ่อนคลายนโยบายการเงินเพื่อฉุดดึงเศรษฐกิจให้ฟื้นจากภาวะหดตัวอย่างรุนแรงจาก โรคระบาดครั้งใหญ่ที่สุดครั้งหนึ่งของโลก โดยธนาคารกลางของสหรัฐอเมริกา (Fed) ประกาศลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายและเพิ่มการอัดฉีดสภาพคล่องด้วยเม็ดเงินจำนวนมหาศาลส่งผลให้อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงของสหรัฐฯ ลดลงจนอยู่ในระดับติดลบที่ -1.1% และเงินดอลลาร์สหรัฐฯ อ่อนค่าลงถึง 10% ทำให้ราคาทองคำปรับตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว เช่นเดียวกับราคาหุ้นกลุ่ม Growth Stock ที่ปรับตัวขึ้นอย่างโดดเด่นท่ามกลางสถานการณ์การแพร่ระบาดของ COVID-19 ที่ยังไม่บรรเทา และความไม่ชัดเจนทางการเมืองจากการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ซึ่งจะมีขึ้นในวันที่ 3 พ.ย. โดยมีนายโจ ไบเดน จากพรรคเดโมแครต และ นายโดนัลด์ ทรัมป์ จากพรรครีพับลิกันเป็นตัวเต็ง

สำหรับช่วงไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ เป็นช่วงที่กำลังเปลี่ยนผ่านจาก Easing Mode เข้าสู่ Reflation Mode คือเป็นช่วงที่ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ยังคงอ่อนค่า แต่จะเริ่มมีปัจจัยบวกที่เข้ามาสนับสนุนภาคเศรษฐกิจและการลงทุนมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการเมืองสหรัฐฯ ที่จะชัดเจนขึ้นหลังการเลือกตั้งประธานาธิบดีเสร็จสิ้น และผลการทดลองวัคซีนที่คาดว่าจะมีความคืบหน้ามากขึ้น ปัจจัยเหล่านี้จะทำให้เศรษฐกิจโลกเริ่มกลับมาฟื้นตัวอย่างแท้จริง ไม่ใช่การฟื้นตัวจากเม็ดเงินที่ภาครัฐอัดฉีดลงไปเพียงอย่างเดียวอย่างช่วงที่ผ่านมา ซึ่งในช่วง Reflation Mode นี้ อัตราผลตอบแทนของพันธบัตรระยะยาวมักจะปรับตัวขึ้นเร็วกว่าอัตราผลตอบแทนของพันธบัตรระยะสั้น สะท้อนถึงภาพการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจและเป็นการส่งสัญญาณถึงความเชื่อมั่นในตลาดหุ้น

แผนภาพที่ 1: Cyclical Recovery to “Reflation Phase” Will Entail Region/Sector Rotation

file

ที่มา: Bloomberg, TISCO Economic Strategy Unit (TISCO ESU)

ภาวะ Reflation Mode นับเป็นภาวะที่ดีที่สุดในการลงทุน เนื่องจากทุกสินทรัพย์จะปรับตัวขึ้นในทิศทางเดียวกันและเกิดขึ้นพร้อมกันทั่วโลก ซึ่งคาดว่าในภาวะ Reflation Mode หุ้นกลุ่ม Value Stock หรือหุ้นที่ยังมีราคาไม่สูงมากจะเริ่มกลับมาให้ผลตอบแทนที่ดีขึ้นเมื่อเทียบกับกลุ่ม Growth Stock ที่ปรับตัวขึ้นมาสูงมากในช่วงที่ผ่านมา เช่นเดียวกับตลาดหุ้นเกิดใหม่ (Emerging Market) ก็จะเริ่มปรับตัวได้ดีขึ้นหลังฟื้นตัวจากวิกฤต และการอ่อนค่าของดอลลาร์สหรัฐฯ จะยิ่งเป็นปัจจัยสนับสนุนให้กลุ่ม Emerging Market มีผลตอบแทนที่ดี เนื่องจากต้นทุนในกู้ยืมของประเทศเหล่านี้จะลดต่ำลง 


แผนภาพที่ 2: ข่าวดีจากการค้นพบวัคซีน และการฟื้นตัวของเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง อาจทำให้ตลาดเปลี่ยน ผ่านไปสู่ Reflation Mode ซึ่งหุ้นในกลุ่ม Value และหุ้นในกลุ่มตลาดเกิดใหม่ (EM) ให้ผลตอบแทนดี

file

ที่มา: Bloomberg, TISCO Economic Strategy Unit (TISCO ESU)

ดังนั้น ในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ เราอาจได้เห็นภาวะ Sector Rotation เพื่อเตรียมเข้าสู่ Reflation Mode ที่ชัดเจนขึ้นในปีหน้า โดยหุ้นกลุ่ม Growth Stock หรือกลุ่ม Megatrends อาจชะลอตัวลง หรือเผชิญแรงขายทำกำไรในช่วงสั้น ในขณะที่กลุ่ม Value Stock เช่น Financial และ Consumer จะเริ่มกลับมาสดใสขึ้น เช่นเดียวกับ Emerging Market เช่น จีน เกาหลี และไต้หวัน ที่คาดว่าจะเริ่มกลับมาส่งออกสินค้าและบริการได้มากขึ้น การปรับพอร์ตเพื่อเตรียมพร้อมกับสถานการณ์ข้างหน้า จึงนับว่าสำคัญมาก โดยอาจแบ่งทำกำไร
หากสัดส่วนการลงทุนในกลุ่ม Growth Stock สูงเกินไป และกระจายการลงทุนไปยังกลุ่ม Value Stock บ้าง

จุดสังเกตสำคัญที่จะบ่งชี้ว่า เรากำลังจะเข้าสู่ Reflation Mode หรือไม่ คืออัตราผลตอบแทนพันธบัตร (Bond Yield) หาก Bond Yield ปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง จะเป็นสัญญาณที่ชัดเจนขึ้นและเป็นจุดตัดสินใจที่จะปรับพอร์ตการลงทุนตามที่ได้แนะนำข้างต้น


แผนภาพที่ 3: หุ้นในกลุ่ม Value Stock ให้ผลตอบแทนดีกว่าหุ้นในกลุ่ม Growth Stock ในช่วงที่อัตราดอกเบี้ยในตลาดเพิ่มขึ้น

file

ที่มา: Bloomberg, TISCO ESU

อย่างไรก็ตาม ไม่ได้หมายความว่า กลุ่ม Megatrends จะหมดความน่าสนใจแล้ว เนื่องจากการลงทุนในหุ้นกลุ่มนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อการลงทุนในระยะยาว โดยคาดว่าผลประกอบการของกลุ่มจะยังคงโดดเด่น มีอัตราการเติบโตสูง และสามารถทนทานต่อทุกภาวะเศรษฐกิจ เพียงแต่ในบางช่วงเวลาที่ราคาหุ้นของกลุ่มนี้ร้อนแรงเกินไป เราอาจต้องแบ่งทำกำไรบ้าง และรอเวลาเพื่อเพิ่มการลงทุนในระดับราคาที่เหมาะสมมากกว่าการไล่ราคาในระดับสูงเกินไปนั่นเอง