Patagonia: Unforgettable Journey to the End of the World ท่องไปในมหัศจรรย์ธรรมชาติแห่งอเมริกาใต้ ณ ดินแดนสุดขอบโลก

นิตยสาร Trust ฉบับที่ 65 | คอลัมน์ Horizon

file

ปาตาโกเนีย (Patagonia) ตั้งอยู่ใต้สุดขอบโลก ณ ทวีปอเมริกาใต้ คือหนึ่งในดินแดนอันแสนพิเศษที่นักเดินทางควรมีโอกาสไปท่องเที่ยวสักครั้ง แม้ว่าจะห่างไกลจากประเทศไทยกว่า 17,000 กิโลเมตร และสภาพอากาศที่แปรปรวนอาจเป็นอุปสรรค แต่ก็นับเป็นการเดินทางที่แสนคุ้มค่า เพราะสิ่งที่รออยู่คือภูมิทัศน์สุดอลังการของเทือกเขาและธารน้ำแข็ง พร้อมพืชพรรณประจำถิ่นที่รายล้อมอยู่ในเส้นทางเดินป่า รวมถึงวิถีชีวิตอันเป็นเอกลักษณ์ของผู้คนในท้องถิ่น ทั้งหมดนี้คือที่สุดแห่งประสบการณ์ซึ่งจะตราตรึงในใจไม่รู้ลืม

เนื่องจากปาตาโกเนียมีอาณาบริเวณครอบคลุมพื้นที่ประเทศอาร์เจนตินา (Argentina) และชิลี (Chile) เราจึงแนะนำแผนการเดินทางไปสัมผัสความงดงามของดินแดนแห่งนี้จากทั้ง 2 ประเทศดังกล่าว เพื่อเติมเต็มความบริบูรณ์ของทริปให้ครบจบทุกแง่มุม

Eclectic Wonders of Argentine Patagonia

เริ่มต้นการเดินทางที่ปาตาโกเนียฝั่งอาร์เจนตินา ซึ่งครอบคลุมพื้นที่ทางใต้ของประเทศทั้งหมด เนื่องจากมีพื้นที่กว้างใหญ่จึงเป็นจุดหมายที่นักเดินทางนิยมเป็นลำดับแรกเมื่อนึกถึงภูมิภาคนี้ ซึ่งเชื่อว่านักเดินทางสายธรรมชาติที่หลงใหลการท่องไปในภูมิทัศน์อันแสนวิจิตรของภูมิภาคต่าง ๆ ทั่วโลก จะต้องหลงรักปาตาโกเนียฝั่งอาร์เจนตินาหมดหัวใจ ทั้งความตระการตาของธารน้ำแข็ง ทิวเขายาวไกลสุดลูกหูลูกตา ที่กลายเป็นจุดนัดพบของนักปีนเขาจากทั่วทุกมุมโลก ถนนหนทางที่ทอดยาวไปตามทัศนียภาพแสนสวย เหมาะสำหรับผู้ที่หลงใหลการเดินทางแบบ Road Trip รวมทั้งยังมีโอกาสสูงที่จะได้เห็นสัตว์ประจำท้องถิ่น ไม่ว่าจะเป็นเพนกวิน หรือสิงโตทะเล

file

Bariloche : The Gateway to Patagonian Beauty and Adventure

เมืองบาริโลเช (Bariloche) ตั้งอยู่ในจังหวัดริโอ เนโกร เป็นจุดหมายปลายทางยอดนิยมที่มีทัศนียภาพสวยงามอย่างทะเลสาบ และอุทยานแห่งชาตินาเวลวัวปี (Nahuel Huapi National Park) ในการเช็กอินที่เมืองนี้เป็นจุดแรกของทริป ถือเป็นการเริ่มต้นเพื่อทำความรู้จักปาตาโกเนีย เพราะเป็นการบรรจบระหว่างเขตสิ้นสุดของพื้นที่ราบ และจุดเริ่มต้นของทิวเขาซึ่งถือเป็นอัตลักษณ์ของเขตภูมิภาคทางใต้ของอาร์เจนตินา

เมืองบาริโลเชถูกค้นพบในปี 1903 และได้กลายเป็นแหล่งพักผ่อนหย่อนใจยอดนิยม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในฤดูหนาว จวบจนปัจจุบัน ด้วยเงื่อนไขที่เหมาะสมอย่างยิ่งสำหรับการเล่นสกี จึงทำให้ชื่อเสียงของเมืองขจรขจายในบริบทสากล ดึงดูดเหล่านักท่องเที่ยวจากทั่วทุกมุมโลก และหากสถาปัตยกรรมในเมืองนี้ ชวนให้นึกถึงหมู่บ้านในสวิตเซอร์แลนด์

นั่นเพราะคนกลุ่มแรกที่ค้นพบเมืองแห่งนี้คือชาวสวิสที่ย้ายถิ่นฐานมายังประเทศอาร์เจนตินานั่นเอง การมาเยือนที่แห่งนี้จึงหมายถึงการได้พบกับร้านช็อกโกแลตและร้านฟองดูว์มากมาย เพราะทั้ง 2 อย่างนี้เป็นอาหารที่ขึ้นชื่อของชาวสวิสแต่ไหนแต่ไรมา

Perito Moreno Glacier: Discovering Patagonia's Icy Jewel

สำหรับจุดเช็กอินอันเป็นไฮไลต์ของปาตาโกเนียฝั่งอาร์เจนตินาที่ทุกคนต้องไม่พลาดไปเยือน คือธารน้ำแข็งเปริโต โมเรโน (Perito Moreno) ที่ตั้งอยู่ในอาณาบริเวณของอุทยานแห่งชาติลอส กลาเซียเรส (Los Glaciares National Park)  ธารน้ำแข็งแห่งนี้มีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 3 ของโลก รองจากธารน้ำแข็งขั้วโลกใต้และอะแลสก้า ครอบคลุมพื้นที่ราว 250 ตารางกิโลเมตร มีความสูงประมาณ 175 เมตร และโดยเฉลี่ยมีส่วนที่สูงพ้นน้ำราว 70 เมตร

ธารน้ำแข็งเปริโต โมเรโน เป็นธารน้ำแข็งที่มีการขยายตัว นักท่องเที่ยวจึงจะได้เห็นการเคลื่อนตัวและการแตกตัวของน้ำแข็งอย่างต่อเนื่อง โดยแท่งน้ำแข็งใหญ่แตกตัวออกมาจากผนังน้ำแข็งขนาดมหึมา ก่อนจะทิ้งตัวสู่ทะเลสาบสีฟ้าที่ห่างลงไปหลายสิบเมตรเบื้องล่าง ก่อให้เกิดเสียงและภาพอันพิเศษ ที่จะตราตรึงในใจไปอีกยาวนาน ส่วนสภาพแวดล้อมของบริเวณนี้ยังเต็มไปด้วยความตระการตาของภูเขาที่ยอดปกคลุมด้วยน้ำแข็ง เขตป่าไม้ที่ยังคงมีความอุดมสมบูรณ์ และทะเลสาบสีฟ้าใส นับเป็นมิติความงามของธรรมชาติที่หลากหลาย ยิ่งช่วยส่งเสริมให้ธารน้ำแข็งแห่งนี้ดูยิ่งใหญ่และงดงาม

ที่นี่มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อระบบนิเวศในภูมิภาคนี้ ซึ่งเป็นแหล่งที่อยู่อาศัยของสิ่งมีชีวิตมากมายหลากหลายประเภท และยังเป็นแหล่งเก็บกักน้ำจืดที่ใหญ่เป็นลำดับต้น ๆ ของโลก จึงได้รับการดูแลเป็นอย่างดีจากรัฐบาลอาร์เจนตินา ส่งผลให้กลายเป็นความมหัศจรรย์ของธรรมชาติที่เข้าถึงได้ง่าย สามารถเดินทางด้วยรถได้อย่างสะดวกสบาย 

file

รอบ ๆ บริเวณยังมีทางเดินที่ได้รับการออกแบบให้นักท่องเที่ยวได้ชื่นชมความงามของธารน้ำแข็งอย่างใกล้ชิด นอกจากจะเดินชมบริเวณโดยรอบได้อย่างใกล้ชิดแล้ว ยังสามารถใช้บริการของโบ๊ตทัวร์ เพื่อนั่งเรือล่องทะเลชมความงามของธารน้ำแข็งในอีกมุมมองหนึ่ง

ช่วงเวลาที่ดีที่สุดสำหรับการมาเยือนที่นี่คือฤดูร้อน ระหว่างเดือนธันวาคมถึงเดือนกุมภาพันธ์ ด้วยอุณหภูมิ 15 ถึง 20 องศา ซึ่งเป็นช่วงที่มีระยะเวลากลางวันยาวนาน จึงเหมาะสำหรับการทำกิจกรรมต่าง ๆ แต่ก็เป็นช่วงเวลาที่มีนักท่องเที่ยวเยอะที่สุดของปี จึงควรเตรียมแผนการเดินทางให้พร้อมอย่างน้อยครึ่งปีถึงหนึ่งปีก่อนวันเดินทางไปยังปาตาโกเนีย

file

Peninsula Valdes : Immerse in Nature's Symphony

เพนนินซูล่า วัลเดส (Península Valdés) เป็นแหล่งอนุรักษ์ธรรมชาติที่เต็มไปด้วยความหลากหลายทางชีวภาพทั้งบนบกและในน้ำ ได้รับการจดทะเบียนเป็นมรดกโลกตั้งแต่ปี 1999 โดยยูเนสโก (UNESCO World Heritage Site) เพราะมีความสำคัญต่อมนุษยชาติ ในฐานะที่เป็นแหล่งอนุรักษ์ธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์มากที่สุดแห่งหนึ่งของโลก

ความอุดมสมบูรณ์ทางธรรมชาติ ทำให้ที่นี่เป็นแหล่งเพาะพันธ์ุและอนุบาลสัตว์ป่ามาอย่างยาวนาน ไม่ว่าจะเป็นสิงโตทะเล แมวน้ำช้าง วาฬเพชฌฆาต รวมถึงนกเพนกวิน และนกหายากอีกหลากหลายพันธุ์ จึงเป็นแหล่งท่องเที่ยวในฝันที่สมบูรณ์แบบสำหรับผู้ที่ชื่นชอบชีววิทยาทางทะเล และสนใจเรียนรู้เรื่องสัตว์ประจำถิ่น

เพนนินซูล่า วัลเดส ยังมีศูนย์การเรียนรู้เรื่องวิทยาศาสตร์ทางทะเลสำหรับนักท่องเที่ยว เพื่อส่งเสริมให้มนุษย์เข้าใจพฤติกรรมสัตว์ในสปีชีส์ต่าง ๆ รวมไปถึงวิถีการอพยพของสัตว์ เพื่อให้เกิดความรู้สึกอยากมีส่วนร่วมในการอนุรักษ์ความหลากหลายของระบบนิเวศ ผ่านการท่องเที่ยวที่รบกวนธรรมชาติและเพิ่มภาระให้โลกน้อยที่สุด ดังนั้น หนึ่งในกิจกรรมไฮไลต์เมื่อมาเยือนเพนนินซูล่า วัลเดส คือ การนั่งเรือชมวาฬนอร์ทเธิร์นไลต์ (Southern Right Whale) ซึ่งจะว่ายอพยพเข้ามายังบริเวณนี้เพื่อผสมพันธ์ุและคลอดลูก ทำให้ช่วงเวลาที่ดีที่สุดสำหรับกิจกรรมนี้คือช่วงเดือนสิงหาคมถึงเดือนตุลาคม

ไม่ไกลจากที่นี่คือ ปูเอร์โต มาดรีน (Puerto Madryn) เมืองชายฝั่งทะเลเลียบมหาสมุทรแอตแลนติก ตั้งอยู่ในจังหวัดชูบัต (Chubut) เหมาะสมสำหรับการเป็นจุดพักสำหรับนักท่องเที่ยวที่ต้องการแพลนทริปเที่ยวเพนนินซูล่า วัลเดส

Tierra del Fuego: Roaming Through Pristine Landscapes and Rich Cultural Heritage

หมู่เกาะเตียร์ร่า เดล ฟูเอลโก (Tierra del Fuego) ซึ่งหมายถึงดินแดนแห่งเปลวเพลิง คือจุดใต้สุดของอาร์เจนตินาก่อนที่จะเดินทางสู่ขั้วโลกใต้ เป็นที่ตั้งของเมืองอุซุอาย่า (Ushuaia) ที่อยู่บนเขตแดนใต้สุดของโลก ซึ่งมีจำนวนประชากรอยู่ราว 60,000 คน และมีชนเผ่ายากัน (Yaghan) เป็นชนเผ่าดั้งเดิมของพื้นที่แห่งนี้ จึงยังมีร่องรอยของมรดกทางวัฒนธรรมของชนเผ่าที่น่าสนใจ โดยอาหารทะเลของที่นี่ขึ้นชื่อเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะ King Crab ซึ่งเป็นปูขนาดใหญ่ น้ำหนักหลายสิบกิโลกรัม เป็นเมนูที่แนะนำว่าต้องลอง

นอกเหนือจากการเที่ยวชมเมืองแล้ว นักเดินทางสายธรรมชาติยังสามารถเข้าไปเที่ยวชมอุทยานแห่งชาติที่มีชื่อเดียวกับเมือง (Tierra Del Fuego NationalPark) ซึ่งเป็นแหล่งที่ตั้งของธารน้ำแข็งน้อยใหญ่มากมาย เช่น ธารน้ำแข็งมาร์เชียล (Martial) และมาริเนลลี (Marinelli)

file

ที่พักแนะนำ : อราเกอร์ อุซุอาย่า รีสอร์ท แอนด์ สปา (Arakur Ushuaia Resort & Spa) ตั้งอยู่บนยอดของเนินเขาทางทิศตะวันออกของเมือง รายล้อมด้วยธรรมชาติงดงาม ไม่ว่าจะมองจากมุมไหนของโรงแรม แขกจึงสามารถเพลิดเพลินกับทิวทัศน์อลังการได้ จากทั้งในห้องนอน สระน้ำ หรือห้องอาหาร

Delving into the Mysteries of Chilean Patagonia

หลังจากเก็บจุดเช็กอินในปาตาโกเนียฝั่งอาร์เจนตินาได้ครบถ้วน หากมีเวลาเพียงพอก็ไม่ควรพลาดการปักหมุดภูมิภาคปาตาโกเนีย ฝั่งชิลีด้วยเช่นกัน แม้จะมีอาณาเขตเล็กกว่า เป็นที่นิยมน้อยกว่า และมีความลำบากในการเดินทางมากกว่า แต่ทัศนียภาพของปาตาโกเนียฝั่งชิลีก็งดงามตระการตาไม่แพ้กัน และควรค่าแก่การไปสัมผัสให้เห็นด้วยตาสักครั้งหากมีโอกาสไปถึง

Los Lagos: Discover Nature's Masterpiece of Lakes and Mountains

เมืองลอส ลาโกส (Los Lagos) หมายถึงทะเลสาบ ซึ่งเป็นแหล่งรวมทะเลสาบที่มีภูมิทัศน์อันวิจิตร อาทิ ทะเลสาบแลนกวิยู (Llanquihue) โตโดส โลส ซานโตส (Todos los Santos) วิลลาริก้า (Villarica) และอื่น ๆ อีกมากมาย หนึ่งในไฮไลต์ของเมืองนี้คือภูเขาไฟจำนวนมากที่มียอดปกคลุมด้วยน้ำแข็ง ซึ่งก่อให้เกิดทัศนียภาพสวยงามอย่างยิ่งบริเวณริมทะเลสาบ

เสน่ห์ของที่นี่ยังครอบคลุมถึงหมู่บ้านน่ารัก ๆ ซึ่งเหมาะจะเป็นที่ผ่อนคลาย ลองปล่อยเวลาเว้นวรรคจากการผจญภัยในปาตาโกเนียสักสองสามคืน แล้วใช้ชีวิตช้า ๆ เพื่อเพลิดเพลินกับการชมหมู่บ้านท่ามกลางกลิ่นอายของสถาปัตยกรรมที่ได้รับอิทธิพลจากเยอรมนี เพราะแต่เดิมมีชาวเยอรมันอพยพมาตั้งถิ่นฐานยังชิลี

Aysén: Hidden Gem of Pristine Wilderness

อายเซ็น (Aysén) เป็นภูมิภาคที่ตั้งอยู่ในทุ่งน้ำแข็งปาตาโกเนียตอนเหนือ (Northern Patagonian Ice Fields) ที่มีความพิเศษด้วยฟยอร์ด (Fjords) ซึ่งมีแหล่งน้ำใสแจ๋วราวกับคริสตัล และสามารถล่องแพเที่ยวชมได้ ภูมิภาคนี้ยังโดดเด่นเรื่องเส้นทาง Road Trip อันสวยงามที่ชื่อว่าคาร์รีเทร่า ออสตรัล (Carretera Austral) เป็นถนนลูกรังที่ทอดตัวคดเคี้ยวผ่านเทือกเขาแอนดีส ธารน้ำแข็ง ทะเลสาบ และแม่น้ำ เป็นระยะทางราว 1,247 กิโลเมตร เผยให้เห็นธรรมชาติอันสวยงามได้ตลอดเส้นทาง ซึ่งจากจุดนี้หากต้องการเดินทางไปยังปาตาโกเนีย ฝั่งอาร์เจนตินา ณ เมืองเอล ชาลเตน ก็สามารถทำได้โดยการขี่จักรยาน ขี่ม้า หรือเดินเท้า

file

Travel Tips

  • คนไทยสามารถเดินทางเข้าอาร์เจนตินาและชิลีได้โดยไม่ต้องขอวีซ่า และแต่ละประเทศสามารถอยู่ได้ครั้งละ 90 วัน
  • สามารถเที่ยวปาตาโกเนียได้ตลอดทั้งปี แต่ไฮซีซันคือต้นเดือนตุลาคมไปจนถึงปลายเดือนเมษายน ซึ่งเป็นช่วงเวลาของฤดูใบไม้ผลิ ฤดูร้อน และฤดูใบไม้ร่วง หากเดินทางช่วงนี้ ควรแพลนทริปและจองทุกอย่างให้เรียบร้อยก่อนเดินทางล่วงหน้า 6 เดือน ส่วนอีก 4 เดือนที่เหลือคือพฤษภาคมถึงกันยายนเป็นช่วงปลายฤดูใบไม้ร่วง ฤดูหนาว และต้นฤดูใบไม้ผลิ จะมีนักท่องเที่ยวบางตากว่า
  • เพื่อให้สามารถเที่ยวปาตาโกเนียได้อย่างไม่เร่งรีบ ไม่เหนื่อยจนเกินไป แต่สามารถเช็กอินจุดหมายสำคัญได้ครบถ้วน ควรมีเวลาอย่างน้อย 2 สัปดาห์ขึ้นไป
  • เพื่อความสะดวกสบายและปลอดภัย แนะนำให้แพลนทริปผ่านบริษัทท่องเที่ยวท้องถิ่นที่สามารถออกแบบการเดินทางได้ตามความต้องการ
  • ปาตาโกเนียเป็นภูมิภาคที่มีอากาศแปรปรวน จึงควรเตรียมเสื้อผ้าสำหรับพร้อมรับทุกสภาพอากาศ

Trust Magazine by TISCO