3 ธีมลงทุนระยะยาว สร้างเงินเกษียณ-ประหยัดภาษี

นิตยสาร Trust ฉบับที่ 66 | คอลัมน์ Holistic Financial Advisory

การสร้างความมั่งคั่ง (Wealth Accumulation) และการวางแผนภาษี (Tax Planning) ถือเป็นส่วนประกอบที่สำคัญอย่างยิ่งในการวางแผนการเงินส่วนบุคคล ปัจจุบันเครื่องมือทางการเงินที่สามารถบรรลุวัตถุประสงค์ทั้ง 2 อย่างไปพร้อม ๆ กัน เปรียบเสมือนการลงทุนที่ได้กำไร 2 ต่อ ก็คือกองทุนรวม SSF (Super Savings Fund) และ RMF (Retirement Mutual Fund) ซึ่งมีนโยบายการลงทุนที่เปิดกว้างในทุกประเภทหลักทรัพย์ ทั้งตราสารหนี้ หุ้นไทย หุ้นต่างประเทศ ทองคำ ฯลฯ และจะต้องถือลงทุนในระยะยาว ดังนั้น การเลือกธีมการลงทุนให้เหมาะสมกับสถานการณ์และสภาพเศรษฐกิจ เพื่อสร้างผลตอบแทนที่สูงอย่างสม่ำเสมอ คือหัวใจสำคัญในการไปสู่เป้าหมาย

ในช่วงปลายปี มักจะเป็นโค้งสุดท้ายที่การวางแผนภาษีจะได้รับความสนใจเป็นพิเศษ คำถามสำคัญคือ “เราควรลงทุน SSF/RMF กองไหนดี?” ทาง TISCO Wealth ได้คัดเลือก 3 ธีมการลงทุนระยะยาวเพื่อการเกษียณควบคู่ไปกับการวางแผนภาษีผ่านกองทุนรวม SSF/RMF ที่น่าสนใจส่งท้ายปี 2023 ไว้ดังนี้

“Global Bonds” เสี่ยงต่ำ กำไรสูง ไม่กลัวเศรษฐกิจถดถอย

ตราสารหนี้ มักเป็นทางเลือกในการลงทุนของคนที่รับความเสี่ยงได้น้อย ทั้งในรูปของกองทุนสำรองเลี้ยงชีพและกองทุนรวม SSF/RMF โดยปัจจุบันผลตอบแทนของตราสารหนี้ทั่วโลกเริ่มกลับมาน่าสนใจอีกครั้ง จนอาจเรียกได้ว่าเป็นโอกาสการลงทุนแบบ “Low Risk High Return” สะท้อนจากอัตราผลตอบแทนของตราสารหนี้ (Yield) ทั้งตั๋วเงินคลัง พันธบัตรรัฐบาล รวมถึงหุ้นกู้บริษัทเอกชนคุณภาพดี ในกลุ่มประเทศที่พัฒนาแล้วทั้งสหรัฐฯ สหราชอาณาจักร สหภาพยุโรป ที่กลับมาให้ผลตอบแทนโดยเฉลี่ยสูงถึง 5-6% มากกว่าตราสารหนี้ประเภทเดียวกันในไทยที่ปัจจุบันให้ผลตอบแทนโดยเฉลี่ยเพียงแค่ 2-3%

นอกจากนี้ นักเศรษฐศาสตร์ส่วนใหญ่ยังประเมินว่าอัตราดอกเบี้ยทั่วโลก ณ ระดับปัจจุบันเข้าใกล้โซนที่เป็นจุดสูงสุดแล้ว และมีแนวโน้มที่ธนาคารกลางจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงอีกครั้งในปี 2024 ซึ่งโดยปกติราคาตราสารหนี้มักจะเคลื่อนไหวสวนทางกับอัตราดอกเบี้ย กล่าวคือเมื่ออัตราดอกเบี้ยปรับตัวลดลง ราคาตราสารหนี้จะปรับตัวเพิ่มขึ้น จึงทำให้นักลงทุนได้กำไรจากส่วนต่างราคา (Capital Gain) เปรียบเสมือนโบนัสจากการลงทุนในตราสารหนี้

อย่างไรก็ตาม ไม่ใช่ตราสารหนี้ทุกประเภทที่จะสามารถลงทุนระยะยาว ผ่านทุกวัฏจักรเศรษฐกิจได้ ดังนั้นเราจึงแนะนำให้เลือกลงทุนกองทุนรวม SSF/RMF ที่มีนโยบายลงทุนในตราสารหนี้ทั่วโลก (Global Bonds) ที่มีอันดับความน่าเชื่อถืออยู่ในระดับ Investment Grade (IG) ขึ้นไป เพื่อกระจายความเสี่ยงและลดความเสี่ยงในการลงทุน พร้อมทั้งคว้าโอกาสเข้าลงทุนในช่วงที่ตราสารหนี้ทั่วโลกกำลังราคาถูกที่สุดในรอบหลายทศวรรษ เพื่อสร้างผลตอบแทนที่ดีระยะยาวให้กับพอร์ตการลงทุน

เริ่มต้นยุคทองตลาดหุ้น “เวียดนาม” ดาวรุ่งพุ่งแรงแห่งอาเซียน

ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ตลาดหุ้นที่สร้างผลตอบแทนเฉลี่ยแบบทบต้น (CAGR) ที่งดงามให้กับนักลงทุน มักจะเป็นตลาดที่ผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนมีการเติบโตที่สูงในระยะยาว ยกตัวอย่างเช่น อินเดีย 13.8% เวียดนาม 12.2% สหรัฐฯ 11.8% โดยเอาชนะผลตอบแทนเฉลี่ย 10 ปีของตลาดหุ้นโลก (MSCI ACWI Index) ซึ่งอยู่ที่ระดับ 8.1% ไปได้ขาดลอย ดังนั้น ตลาดหุ้นประเทศเหล่านี้จึงเป็นแหล่งสร้างการเติบโตชั้นเยี่ยมให้กับเงินลงทุนเพื่อการเกษียณ

มองไปข้างหน้าอีก 5 ปี “เวียดนาม” ถือเป็นหนึ่งในประเทศที่กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) คาดการณ์ว่าจะมีอัตราการเติบโตของ GDP เฉลี่ยในช่วงปี 2024 ถึงปี 2028 ที่สูงถึงปีละ 6.72% ซึ่งถือเป็นระดับการเติบโตทางเศรษฐกิจที่สูงกว่าค่าเฉลี่ยของโลกที่ระดับ 3.09% และยังสูงกว่า GDP Growth ของเศรษฐกิจใน Emerging Markets อย่างจีน อินเดีย อินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์

นอกจากนี้ เวียดนามยังมีปัจจัยในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจในระยะยาวที่เพียบพร้อม ทั้งการบริโภคภายในประเทศของประชากรกว่า 100 ล้านคน ที่ส่วนใหญ่อยู่ในวัยทำงานและมีรายได้เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง การลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) ที่ได้รับอานิสงส์จาก Megatrend ที่บริษัทชั้นนำของโลกต่างดำเนินกลยุทธ์ “China Plus One” ด้วยการกระจายฐานการผลิตสินค้าออกจากจีน และเลือกเวียดนามเป็นฐานการผลิตเพื่อส่งออกแห่งใหม่ เพื่อเลี่ยงความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์ที่เกิดขึ้นระหว่างสหรัฐฯ กับจีน ตลอดจนความไม่แน่นอนทางด้านนโยบายของรัฐบาลจีน ส่งผลให้การส่งออกสินค้าที่อยู่ในความต้องการของตลาดโลกของเวียดนาม อาทิ อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ เฟอร์นิเจอร์ เสื้อผ้า ฯลฯ มีแนวโน้มเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ การลงทุนจากภาครัฐเพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ เช่น สนามบิน ท่าเรือ ทางด่วน ทางรถไฟฟ้า ตลอดจนโรงไฟฟ้า ยังคงขยายตัวเพิ่มขึ้นเพื่อรองรับการเติบโตของเศรษฐกิจในระยะยาว

ในฝั่งของตลาดหุ้น อุตสาหกรรมหลักในตลาดหุ้นเวียดนามส่วนใหญ่มักเป็นหุ้นที่อิงกับการบริโภคภายในประเทศ เช่น หุ้นกลุ่มธนาคาร ค้าปลีก อาหารและเครื่องดื่ม เทคโนโลยีสารสนเทศ และอสังหาริมทรัพย์ ปัจจุบัน Bloomberg Consensus ประเมินอัตราการเติบโตของกำไรบริษัทจดทะเบียน (EPS Growth) ในเวียดนามสูงถึง +11.3% YoY ในปี 2023 และอีก +30% YoY ในปี 2024 นับเป็นอัตราการเติบโตที่โดดเด่นกว่าประเทศอื่น ๆ อย่างชัดเจน ส่งผลให้ Valuation ของหุ้นเวียดนามซื้อขายกันที่ Forward P/E เพียงแค่ 10 เท่า ซึ่งยังต่ำกว่าค่าเฉลี่ยระยะยาวที่ 12.4 เท่าเป็นอย่างมาก ด้วยมูลค่าหุ้นที่น่าดึงดูดและการเติบโตของเศรษฐกิจที่โดดเด่น ทำให้เรามองว่าทศวรรษทองของตลาดหุ้นเวียดนามกำลังจะเริ่มต้นขึ้น

เราแนะนำให้เลือกลงทุนกองทุนรวม SSF/RMF ที่มีนโยบายลงทุนในหุ้นเวียดนาม ด้วยการใช้กลยุทธ์แบบ Bottom-up ในการคัดเลือกหุ้นเติบโตคุณภาพดี ตลอดจนมีการลงทุนใน ETF เพื่อเสริมสภาพคล่องให้กับกองทุน ช่วยลดความเสี่ยงและเพิ่มผลตอบแทนระยะยาวล้อไปกับเศรษฐกิจเวียดนาม ที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็วจนเป็น The Rising Star of Asia

file

เกาะ Megatrend สังคมผู้สูงอายุกับหุ้น “Healthcare”

การลงทุนในหุ้นรายอุตสาหกรรม ถือเป็นอีกหนึ่งรูปแบบที่นักลงทุนนิยมเลือกลงทุนผ่านกองทุนรวม SSF/RMF โดยส่วนใหญ่มักจะเป็นกลุ่มอุตสาหกรรมที่อยู่ใน Megatrend มีการเติบโตของผลประกอบการที่สูงและสม่ำเสมอ ไม่ผันผวนตามภาวะเศรษฐกิจ จึงสามารถถือลงทุนระยะยาวได้ โดยไม่จำเป็นต้องปรับพอร์ตการลงทุนตามสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลง

สถิติการเติบโตของกำไรหุ้นกลุ่ม Healthcare ได้รับอานิสงส์จาก Megatrend ของสังคมผู้สูงอายุ การใส่ใจในการดูแลสุขภาพ ตลอดจนนวัตกรรมทางการแพทย์ที่ก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว จนทำให้การรักษาพยาบาลมีประสิทธิภาพที่สูงขึ้น สะท้อนให้เห็นจากผลประกอบการที่เติบโตราว 8% เฉลี่ยทบต้นในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา นอกจากนี้ ผลประกอบการของหุ้นกลุ่ม Healthcare ยังไม่ผันผวนตามวัฏจักรเศรษฐกิจ โดยสามารถเติบโตได้อย่างแข็งแกร่งแม้ในช่วงเวลาที่เกิดวิกฤตเศรษฐกิจ ทำให้หุ้นกลุ่มนี้น่าสนใจในฐานะหุ้น “Defensive Growth”

อย่างไรก็ตาม นับตั้งแต่ต้นปีราคาหุ้นกลุ่ม Healthcare ถือว่าทรงตัวและปรับตัวขึ้นน้อยกว่าภาพรวมตลาด เนื่องจากแรงกดดันในระยะสั้นที่ตลาดกังวลว่ากลุ่ม Healthcare จะได้รับผลกระทบจากการที่รัฐบาลสหรัฐฯ สั่งควบคุมราคายาภายใต้ IRA (Inflation Reduction Act) ทำให้ Bloomberg Consensus ประเมินอัตราการเติบโตของกำไรบริษัทจดทะเบียน (EPS Growth) หดตัว -8.7% YoY ในปี 2023 แต่จะกลับมาขยายตัว +11.5% YoY อีกครั้งในปี 2024

ปัจจุบัน Valuation ของหุ้นกลุ่มนี้ซื้อขายที่ระดับ Forward P/E เพียงแค่ 17.6 เท่า ใกล้เคียงกับค่าเฉลี่ยระยะยาวที่ 17.2 เท่า สะท้อนให้เห็นว่าราคาหุ้นในปัจจุบันได้ตอบรับความกังวลดังกล่าวไปพอสมควรแล้ว นอกจากนี้ นักวิเคราะห์ยังประเมินผลกระทบต่อรายได้ของอุตสาหกรรมยาค่อนข้างจำกัด และมองว่าบริษัทยาสามารถวิจัยพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่เพื่อทดแทนรายได้ที่หายไปได้ไม่ยาก ดังนั้น การสะดุดในระยะสั้น ๆ ของอุตสาหกรรมหุ้นกลุ่ม Healthcare ถือเป็นโอกาสดีในการลงทุนระยะยาว

เราแนะนำให้เลือกลงทุนกองทุนรวม SSF/RMF ที่มีนโยบายลงทุนในหุ้นกลุ่ม Healthcare ด้วยการใช้วิธีการบริหารแบบ Active Management ในการคัดเลือกหุ้น เพื่อสร้างผลตอบแทนระยะยาวไปกับ Megatrend สังคมผู้สูงอายุและนวัตกรรมการแพทย์ที่ก้าวหน้าขึ้น