“The Baltic States” มนต์เสน่ห์แห่งยุโรปเหนือ ณ กลุ่มประเทศบอลติก

นิตยสาร Trust ฉบับที่ 66 | คอลัมน์ Horizon

file

ใกล้ ๆ กับภูมิภาคนอร์ดิก (The Nordic Region) ที่อยู่ตอนเหนือสุดของทวีปยุโรป ห่างกันเพียงทะเลบอลติก (Baltic Sea) กั้นนั้น เป็นที่ตั้งของกลุ่มประเทศบอลติก (The Baltic States) อันประกอบด้วย ประเทศเอสโตเนีย (Estonia), ลัตเวีย (Latvia), และลิทัวเนีย (Lithuania) โดยทั้ง 3 อาณาจักรนี้ต่างมีพรมแดนส่วนหนึ่งติดชายฝั่งทะเลบอลติกทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ นี่คือดินแดน Unseen ในอีกซีกโลกที่เปี่ยมไปด้วยมนต์เสน่ห์น่าหลงใหล ทั้งความงดงามสุดคลาสสิกจากประวัติศาสตร์เมืองเก่า ความยิ่งใหญ่ของสถาปัตยกรรมโบราณที่ผสมผสานระหว่างศิลปะบอลติกและรัสเซีย รวมถึงภูมิทัศน์ของทะเลบอลติกที่ธรรมชาติบรรจงสร้าง จึงทำให้นักท่องเที่ยวอยากไปเยือนสักครั้งหนึ่งในชีวิต

หลังจากเป็นส่วนหนึ่งของสหภาพสาธารณรัฐสังคมนิยมโซเวียตรวมทั้งหมดเกือบ 50 ปี กลุ่มประเทศบอลติกทั้งสามก็ได้แยกตัวออกมาปกครองตนเองในช่วงต้นของยุค 90 โดยรัฐบาลทั้ง 3 ประเทศได้ทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิดในหลายแง่มุม ทั้งเรื่องนโยบายการปกครอง รัฐสภา การป้องกันประเทศ ความมั่นคงของชาติ การต่างประเทศ พลังงาน รวมไปถึงการคมนาคมขนส่ง

อย่างไรก็ตาม แม้จะมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันและรวมตัวกันเป็นกลุ่มก้อนเหนียวแน่น แต่เมื่อมองผ่านมุมวัฒนธรรม สถาปัตยกรรม และภูมิทัศน์ ทั้งเอสโตเนีย ลัตเวีย และลิทัวเนีย ต่างก็มีเอกลักษณ์ที่ถือเป็นเสน่ห์เฉพาะตัว ซึ่งจะทำให้ผู้ไปเยือนรู้สึกใจเต้นได้ไม่แพ้กัน อีกทั้งเขตเมืองเก่าของเมืองหลวงทั้งสาม ได้แก่ ทาลลินน์ (Tallin, Estonia) รีกา (Riga, Latvia) และวิลนีอัส (Vilnius, Lithuania) ต่างก็ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกจากยูเนสโก (UNESCO World Heritage Site) นี่จึงเป็นจุดหมายปลายทางที่ควรค่าแก่การไปเยือน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สำหรับนักท่องเที่ยวสายชมเมืองและชื่นชอบโบราณสถาน เพื่อการเดินทางที่สมบูรณ์ แนะนำว่าควรไปเยือนกลุ่มประเทศบอลติกให้ครบในการเดินทางครั้งเดียวกัน 

Estonia: A Tapestry of Medieval and Modern

เริ่มต้นกันที่ประเทศเอสโตเนีย ประเทศที่เล็กที่สุดในกลุ่มบอลติก ทั้งในเรื่องของพื้นที่ครอบคลุมราว 45,340 ตารางกิโลเมตร กับจำนวนประชากรที่มีเพียงราว 1.3 ล้านคนเท่านั้น ทว่าเอสโตเนียกลับกลายเป็นประเทศที่มั่งคั่งที่สุดของภูมิภาค

ปัจจุบันเอสโตเนียได้รับการพูดถึงในฐานะที่เป็นศูนย์กลางของโลกดิจิทัล (Digital Hub) แห่งทวีปยุโรป ที่นี่คือประเทศที่นำการเลือกตั้งแบบออนไลน์มาใช้เป็นครั้งแรกในโลก และเกือบร้อยเปอร์เซ็นต์ของการทำธุรกรรมสามารถทำผ่านบัตรประชาชนอิเล็กทรอนิกส์ เพราะมีการลงทุนและวางรากฐานเรื่องระบบอินเทอร์เน็ตไว้เป็นอย่างดี สำหรับนักท่องเที่ยวที่ไปเยือนเอสโตเนียสามารถท่องโลกออนไลน์ได้อย่างไม่สะดุด เพราะมี Wi-Fi ฟรีบริการทั่วไปในทุกพื้นที่ แต่ท่ามกลางการดำเนินชีวิตของผู้คนที่โอบรับการเลี้ยงชีพด้วยนวัตกรรมและไลฟ์สไตล์สมัยใหม่ ที่นี่กลับมีฉากหลังเป็นสถาปัตยกรรมโบราณจากยุคกลางที่ได้รับการดูแลเป็นอย่างดี ทำให้เอสโตเนียคือพื้นที่ที่ผสานร่องรอยของอดีตเข้ากับความเจริญของโลกยุคใหม่ในวันนี้ เพื่อปูทางไปสู่โลกอนาคตได้อย่างมั่นคง

file

ในเมืองเก่ายังมีที่ทำการของรัฐสภาซึ่งตั้งอยู่ในปราสาททูมพี (Toompea Castle) ที่เปิดให้นักท่องเที่ยวสามารถเข้าชมความวิจิตรภายในปราสาท ใกล้ ๆ กันคือที่ตั้งของหอคอยพิกก์ เฮอร์แมนน์ (Pikk Hermann) ซึ่งเป็นหนึ่งในสัญลักษณ์ประจำชาติของเอสโตเนีย

สำหรับสายชมโบสถ์เก่าต้องไม่พลาดเช็กอินที่มหาวิหารเซนต์แมรี่ (St. Mary's Cathedral) วัดคริสต์ที่เก่าแก่ที่สุดของเมือง โดดเด่นด้วยสถาปัตยกรรมหลากสไตล์ ทั้งโกธิก โรมาเนสก์ (Romanesque) และบาโรก (Baroque) วัดคริสต์อีกหนึ่งแห่งที่สวยงามไม่แพ้กันคือมหาวิหารอเล็กซานเดอร์ เนฟสกี (Alexander Nevsky Cathedral) ที่สะท้อนร่องรอยของอิทธิพลของรัสเซีย เพราะสร้างในสไตล์ออร์โธด็อกซ์ (Russian Orthodox) โดดเด่นด้วยโดมทรงหัวหอม และเพราะตั้งอยู่บนเนินเขา จากจุดนี้จึงสามารถมองเห็นวิวกว้างของเมืองเก่าได้ แต่หากจริงจังกับการชมวิวเมืองจากมุมสูง แนะนำจุดชมวิวโคทูออตซ่า (Kohtuotsa Viewing Platform) ที่จะสามารถเห็นความงามจับใจของเมืองเก่าทาลลินน์ในช่วงดวงอาทิตย์ขึ้นและดวงอาทิตย์ตกได้

file

แน่นอนว่า “กรุงทาลลินน์ (Tallinn)” เมืองหลวง เป็นเมืองที่มีขนาดใหญ่ที่สุดและสำคัญที่สุดในประเทศเอสโตเนีย ตั้งอยู่ทางชายฝั่งทะเลบอลติกทางเหนือ ทาลลินน์เต็มไปด้วยสถาปัตยกรรมอันสวยงามและมีคุณค่าทางประวัติศาสตร์ โดยเฉพาะในย่านเมืองเก่าซึ่งมีชื่อเรียกว่าวานาลินน์ (Vanalinn) จุดเช็กอินไฮไลต์ของเมือง ซึ่งเริ่มต้นเขตแดน ณ ซุ้มประตูของหอคอยแฟต มาร์กาเร็ต (Fat Margaret Tower) โดยเป็นส่วนหนึ่งของกำแพงเมืองเก่าโบราณที่ปัจจุบันเป็นที่ตั้งของพิพิธภัณฑ์ทางทะเลแห่งชาติ (Estonia Maritime Museum)

ภายในเมืองเก่ามีสถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์มากมาย จุดศูนย์กลางคือจัตุรัสกลางเมืองเก่า (Town Hall Square) ในอดีตเป็นศูนย์กลางการแลกเปลี่ยนสินค้า รวมทั้งเฉลิมฉลองเทศกาลสำคัญต่าง ๆ ของเมือง ปัจจุบันเป็นที่ตั้งของร้านรวงเก๋ ๆ และคาเฟ่มากมาย จึงเป็นแหล่งแฮงก์เอาต์ยอดนิยมสำหรับคนพื้นที่และนักท่องเที่ยวต่างถิ่น ภูมิทัศน์ที่นี่แวดล้อมด้วยสถาปัตยกรรมแบบอาร์ตนูโว (Art Nouveau) และโกธิก (Gothic) อาคารที่สำคัญที่สุดในละแวกนี้คือที่ว่าการเมือง (Tallinn Town Hall) ซึ่งเป็นสิ่งปลูกสร้างแบบโกธิกในระดับมาสเตอร์พีซ

file

ที่พักแนะนำ : โรงแรมชลอสสเลอ (Schlössle Hotel) ที่ตั้งในเขตเมืองเก่า ดัดแปลงมาจากบ้านโบราณที่สร้างขึ้นในศตวรรษที่ 13 ที่เคยมีหนึ่งในรายชื่อแขกคนสำคัญเป็นสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 (Queen Elizabeth II) 

The Captivating Cities Beyond Tallinn

หากมีเวลาเพียงพอ แนะนำให้เดินทางท่องเที่ยวไปยังเมืองอื่น ๆ ในเอสโตเนียที่จะสร้างความประทับใจไม่แพ้เมืองหลวง เริ่มจากตาร์ตู (Tartu) เมืองหลวงแห่งการศึกษาและวัฒนธรรม เป็นที่ตั้งของมหาวิทยาลัยตาร์ตู (University of Tartu) ที่เก่าแก่และมีชื่อเสียงที่สุดของประเทศ ท่ามกลางโบราณสถานต่าง ๆ ที่นี่อัดแน่นไปด้วยพลังของคนรุ่นใหม่และมีอีเวนต์ที่น่าสนใจมากมายผลัดเปลี่ยนกันมาสร้างชีวิตชีวาแก่เมือง

สำหรับนักท่องเที่ยวสายชิลล์น่าจะชื่นชอบปาร์นุ (Pärnu) เมืองตากอากาศริมทะเล ที่นอกจากจะรายล้อมไปด้วยรีสอร์ท สปา ร้านอาหาร และคาเฟ่มากมายแล้ว บ้านไม้สไตล์อาร์ตนูโว อีกหนึ่งสัญลักษณ์ของเมืองยังช่วยสร้างเสน่ห์เฉพาะตัวแก่ที่นี่ได้เป็นอย่างดี

ส่วนผู้ที่ชื่นชอบเกี่ยวกับศิลปวัฒนธรรมและอีเวนต์แนวสร้างสรรค์ต่าง ๆ แนะนำให้ไปเยือนเมืองวิจันดี (Viljandi) ที่โดดเด่นทั้งเรื่องธรรมชาติและร่องรอยประวัติศาสตร์ เพราะมีทะเลสาบสวย ๆ (Lake Viljandi) และซากปรักหักพังของปราสาท (Viljandi Castle Ruins) ในชื่อเดียวกับเมือง โดยที่นี่ยังเป็นสถานที่จัดเทศกาลดนตรีประจำปี (Viljandi Folk Music Festival) จัดขึ้นในฤดูร้อนราว ๆ เดือนกรกฎาคม เป็นกิจกรรมแม่เหล็กดึงดูดการไปเยือนของคนรักดนตรีจากทั่วโลก

file

Latvia: Where Elegance Meets History

“ลัตเวีย” เป็นประเทศที่ตั้งอยู่ตรงกลางของกลุ่มประเทศบอลติก และยังเป็นประเทศที่สองของกลุ่มบอลติกที่แยกตัวเป็นอิสระจากสหภาพโซเวียต (ประเทศแรกคือเอสโตเนีย และลิทัวเนียเป็นประเทศสุดท้าย ซึ่งใช้เวลาปีกว่าหลังจากลัตเวียประกาศตัวเป็นรัฐอิสระ) เสน่ห์ของที่นี่อยู่ที่ความหลากหลายของรูปแบบสถาปัตยกรรม ตั้งแต่อาคารสไตล์อาร์ตนูโว เรื่อยไปจนถึงบ้านไม้แบบชนบท

แม้ว่ามรดกทางวัฒนธรรมเหล่านี้จะมีให้เห็นอยู่ทั่วประเทศลัตเวีย แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่าสถาปัตยกรรม ณ เขตเมืองเก่าใน “กรุงรีกา (Riga)” เมืองหลวงของประเทศ คือที่สุดแห่งความวิจิตรทั้งมวล เนื่องจากรีกาเก่าแก่ราว 800 กว่าปี จึงเดินทางผ่านกาลเวลาและได้รับอิทธิพลของวัฒนธรรมที่มาจากต่างยุคสมัย ที่สะท้อนออกมาผ่านสิ่งปลูกสร้างและภูมิทัศน์ของเมือง

file
file

Exploring Latvia's Outdoor Paradise

เยือนลัตเวียแล้ว ไม่ควรพลาดแวะไปเที่ยวชมความงามของเมืองซิกุลดา (Sigulda) ที่มีภูมิทัศน์ตระการตาจนได้ฉายาสวิตเซอร์แลนด์แห่งลัตเวีย อยู่ห่างจากรีกาเพียงชั่วโมงเดียว ตั้งอยู่บนฝั่งของแม่น้ำเกาจา (Gauja River) นอกจากได้เพลิดเพลินกับธรรมชาติสวยงาม และสนุกกับกิจกรรมกลางแจ้งอย่างการเดินป่าและล่องเรือ เมืองนี้ยังมีปราสาทเก่าจากยุคกลาง (Turaida Castle) และสถาปัตยกรรมเฉพาะตัวของบ้านไม้เก่าแก่ที่เป็นหนึ่งในเอกลักษณ์ของเมืองให้ได้ชื่นชมด้วย

file

โบสถ์เซนต์ปีเตอร์ (St. Peter's Church) ที่สร้างขึ้นจากหินในปี ค.ศ.1209 ได้รับการยกย่องว่าเป็นโบสถ์ที่สวยวิจิตรที่สุดของเมือง คือหนึ่งในจุดเช็กอินของเมืองเก่าที่ห้ามพลาด โบสถ์สร้างจากหินสูง 72 เมตร ซึ่งนับเป็นสิ่งก่อสร้างที่สูงที่สุดของเมือง นอกจากจะชมความงามของตัวโบสถ์แล้ว หากต้องการชมความงามของเมืองเก่าในมุมสูง ก็สามารถขึ้นไปบนยอดหอนาฬิกาของโบสถ์ได้ ส่วนมหาวิหารรีกา (Riga Cathedral) หรือเป็นที่รู้จักแพร่หลายในชื่อมหาวิหารโดม (The Dome Cathedral) เป็นโบสถ์ที่ใหญ่ที่สุดในกลุ่มประเทศบอลติก ที่ผสมผสานระหว่างศิลปะแบบบาโรกและโกธิกได้อย่างลงตัว และสามารถขึ้นไปชมวิวเมืองเก่าของรีกาบนยอดโดมของโบสถ์ได้เช่นกัน

อีกหนึ่งแลนด์มาร์กที่น่าสนใจคืออาคารสามพี่น้อง (Three Brothers) เรียงกัน 3 หลัง ที่แต่ละหลังล้วนมีสไตล์การปลูกสร้างแตกต่างกันตามยุคสมัย สะท้อนให้เห็นหน้าประวัติศาสตร์ของรีกาได้เป็นอย่างดี อาคารสีขาวซ้ายมือเก่าแก่ที่สุด สร้างด้วยศิลปะโกธิกผสมเรอเนสซองส์ (Renaissance) ส่วนหลังกลางเก่าแก่เป็นลำดับสอง ปลูกสร้างด้วยอิทธิพลของสถาปัตยกรรมแบบดัตช์ และน้องเล็กหลังซ้ายสุดสีเขียวเป็นสถาปัตยกรรมสไตล์บาโรก

สำหรับท่านนักช้อป นักชิม ต้องไม่พลาดโอกาสไปเดินชมตลาดกลางของเมือง (Riga Central Market) ที่จำหน่ายสินค้าแทบทุกประเภท ตั้งแต่อาหาร ดอกไม้ เสื้อผ้า สินค้าไลฟ์สไตล์และของที่ระลึก เพราะมีพื้นที่กว้างใหญ่ถึง 72,300 ตารางเมตร จึงเป็นตลาดใหญ่ที่สุดในยุโรป และพ่วงตำแหน่งตลาดเก่าแก่ที่สุดของทวีปด้วย ได้รับการขึ้นทะเบียนให้เป็นมรดกโลกโดยยูเนสโก เมื่อปี ค.ศ.1998

ไม่เพียงเป็นแหล่งมรดกทางวัฒนธรรม แต่รีกาซึ่งตั้งอยู่บริเวณปากแม่น้ำเดากาวา (Daugava River) ยังถือเป็นสีสันและความคึกคักสูงสุดในบรรดาเมืองหลวงทั้งสามของกลุ่มประเทศบอลติก เพราะเป็นเมืองหลวงที่มีขนาดใหญ่ที่สุด และความหนาแน่นของจำนวนประชากรมากที่สุด






ที่พักแนะนำ : เดอะโดม โฮเทลแอนด์สปา (The Dome Hotel and Spa) โรงแรมย่านเมืองเก่าที่หรูหราที่สุดของรีกา โดดเด่นด้วยการตกแต่งที่สะท้อนการเปลี่ยนของยุคสมัย ไม่ว่าจะเป็นภาพวาดบนเพดานและบันไดไม้จากศตวรรษที่ 18 ชั้นล่าง ๆ ของโรงแรมปลูกสร้างขึ้นในยุคกลาง ส่วนชั้นสูงขึ้นไปได้รับการต่อเติมในยุค 1700 ก่อนจะได้รับการแปลงโฉมเป็นโรงแรมในช่วงต้นของยุค 2000

file
file
file

Crosses in the Sky and Castles on Water

ห่างจากเขตเมืองเก่าไปทางตะวันออกเฉียงใต้ราว 3 ชั่วโมง ณ เมืองเซวเล (Šiauliai) คือที่ตั้งของเนินไม้กางเขน (Hill of Crosses) ซึ่งมีไม้กางเขนมากกว่า 200,000 อัน แต่เดิมพื้นที่แห่งนี้เป็นสุสานของกลุ่มต่อต้านจักรวรรดิรัสเซีย และมีไม้กางเขนวางไว้เพียงจำนวนเล็กน้อย แต่หลังจากรัสเซียประกาศว่าลิทัวเนียเป็นกบฏ ไม้กางเขนที่นี่จึงถูกกำจัดทั้งหมด แต่ไม่ว่าจะกำจัดกี่ครั้งต่อกี่ครั้ง ไม้กางเขนก็ไม่หมดไป แต่กลับยิ่งมีจำนวนมากขึ้นเรื่อย ๆ เป็นการแสดงออกถึงสัญลักษณ์การต่อสู้และการไม่ยอมแพ้ของชาวลิทัวเนีย นี่จึงเป็นอีกหนึ่งสถานที่ควรค่าแก่การไปเยือน

file

Lithuania: of Castles, Baroque, and Crosses

ภูมิทัศน์สถาปัตยกรรมของประเทศลิทัวเนียสะท้อนให้เห็นความหลากหลายทางประวัติศาสตร์ ผ่านสิ่งปลูกสร้างต่าง ๆ ตั้งแต่ปราสาทสุดอลังการไปจนถึงโบสถ์ไม้ที่มีภาพลักษณ์อันแสนสงบ ไม่ต่างจาก 2 ประเทศเพื่อนบ้าน เขตเมืองเก่าของ “วิลนีอัส (Vilnius)” เมืองหลวงของลิทัวเนีย เต็มไปด้วยเสน่ห์ของสถาปัตยกรรมในยุคกลาง ที่ได้รับการดูแลและอนุรักษ์เป็นอย่างดี

ขณะที่โบสถ์เซนต์แอนน์ (St. Anne's Church) สีแดงตระหง่านสวยเด่นจากงานก่ออิฐสุดประณีต คือสถาปัตยกรรมโกธิกชิ้นเอก มหาวิหารวิลนีอัส (Vilnius Cathedral) ก็เป็นอีกหนึ่งวัดคริสต์สไตล์โกธิกที่สำคัญต่อประวัติศาสตร์ของประเทศ รวมทั้งยังทำหน้าที่เป็นพิพิธภัณฑ์เก็บผลงานศิลปะชิ้นสำคัญจากช่วงปลายศตวรรษที่ 14 อีกด้วย

ใกล้ ๆ กับเขตเมืองเก่า ขึ้นไปทางตอนเหนือเป็นที่ตั้งของมหาวิทยาลัยวิลนีอัส (Vilnius University) หนึ่งในมหาวิทยาลัยที่เก่าแก่ที่สุดของยุโรปตะวันออก ที่ก่อตั้งขึ้นในปี ค.ศ. 1579 เป็นคอมเพล็กซ์ด้านการศึกษาที่โดดเด่นเรื่องสถาปัตยกรรมผสมผสานระหว่างโกธิกและบาโรก รวมทั้งยังมีโบสถ์เซนต์จอห์น (St. John's Church) ประจำมหาวิทยาลัยและหอระฆัง (Bell Tower) ซึ่งสามารถขึ้นไปชมวิวภาพกว้างของเมืองได้

 

 

ที่พักแนะนำ : โรงแรมปาไซ (Hotel Pacai) ในเขตเมืองเก่าของวิลนีอัส เกิดจากการบูรณะปราสาทโบราณสไตล์บาโรกที่สร้างขึ้นในปี 1677 ซึ่งแล้วเสร็จสมบูรณ์เมื่อปี 2018

file

เช่นเดียวกับทราไก (Trakai) เมืองหลวงเก่าที่นักเดินทางไม่ควรพลาด ที่นี่เป็นเมืองแห่งปราสาทและทะเลสาบที่แท้ทรู เพราะมีทะเลสาบมากถึง 200 แห่ง และยังมีแลนด์มาร์กที่โด่งดังไปทั่วโลก นั่นคือปราสาททราไก (Trakai Island Castle) ปราสาทบนเกาะกลางทะเลสาบกาล์ฟ (Lake Galves) ที่สร้างขึ้นในศตวรรษที่ 14 ตัวปราสาทสร้างขึ้นจากอิฐสีส้ม โอบล้อมด้วยสีเขียวขจีของต้นไม้ และสีฟ้าเข้มของทะเลสาบ ภายในปราสาทจัดแสดงประวัติความเป็นมาของปราสาท และโบราณวัตถุต่าง ๆ นอกจากธรรมชาติสวยงามและโบราณสถานอันวิจิตร บ้านเรือนโบราณชั้นเดียวสีสันสดใสที่มีห้องใต้หลังคาที่เรียกว่า สไตล์คาเรม (Karaim) ที่อยู่ในสภาพที่ยังสมบูรณ์ ยังเป็นหนึ่งในเอกลักษณ์ที่สร้างอัตลักษณ์แก่ทราไกได้เป็นอย่างดี

การเดินทางท่องเที่ยวในกลุ่มประเทศบอลติกทั้ง 3 ประเทศเปรียบได้กับการพลิกหน้าหนังสือประวัติศาสตร์เล่มโต แต่ละหน้าล้วนอัดแน่นไปด้วยความรุ่มรวยทางสถาปัตยกรรมและวัฒนธรรมเก่าแก่จากหลากหลายยุคสมัย ตั้งแต่โบสถ์ไม้โบราณเรื่อยไปจนถึงปราสาทสวยวิจิตรด้วยศิลปะแบบอาร์ตนูโว ที่พร้อมมอบประสบการณ์การเดินทางสุดพิเศษแก่ผู้มาเยือน ซึ่งหาไม่ได้จากภูมิภาคอื่น ๆ ในโลก

Travel's Guide

  • นักท่องเที่ยวชาวไทยสามารถเดินทางเข้ากลุ่มประเทศบอลติกได้ด้วยวีซ่าเชงเกน (Schengen Visa)
  • ควรมีเวลาอย่างน้อย 2 สัปดาห์สำหรับการเที่ยวกลุ่มประเทศบอลติก และหากมีเวลา 3 สัปดาห์
    จะยิ่งทำให้มีเวลาดื่มด่ำกับแต่ละประเทศมากยิ่งขึ้น
  • ฤดูร้อน (เดือนมิถุนายน-สิงหาคม) ของดินแดนแห่งนี้ มีอุณหภูมิระหว่าง 16 - 20 องศาเซลเซียส
    และจะมีแสงอาทิตย์ยาวนานถึง 19 ชั่วโมงต่อวัน คือช่วงเวลาที่ดีที่สุดสำหรับการเดินทางไปเยือน
  • กลุ่มประเทศบอลติกเรียงกันเป็นแนวเหนือลงใต้ ได้แก่ เอสโตเนีย ลัตเวีย ลิทัวเนีย ตามลำดับ
    แนะนำให้เดินทางท่องเที่ยวจากเหนือจรดใต้ หรือใต้ขึ้นเหนือ เพื่อความลื่นไหลอิ่มอารมณ์ของทริป
  • เนื่องจากเที่ยวบินจากประเทศไทยสู่เฮลซิงกิ ประเทศฟินแลนด์เป็นที่นิยมมากกว่า จึงทำให้วางแผนการเดินทางได้สะดวก
    โดยสามารถต่อเครื่องบินระหว่าง 2 ประเทศได้อย่างง่ายดาย แต่หากอยากสร้างอีกหนึ่งประสบการณ์ประทับใจให้แก่ทริปกลุ่มประเทศบอลติก
    การโดยสารเรือเฟอร์รีจากเฮลซิงกิไปยังกรุงทาลลินน์ ประเทศเอสโตเนีย ซึ่งใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมง 10 นาที
    ก็เป็นอีกทางเลือกที่น่าสนใจไม่น้อยเช่นกัน