Unlocking San Marino’s 5 Allures 5 มนต์เสน่ห์ของ “ซานมารีโน” ดินแดนประวัติศาสตร์และความงามแห่งเทือกเขาแอเพนไนน์

นิตยสาร Trust ฉบับที่ 67 | คอลัมน์ Horizon

file

หากพูดถึงประเทศเล็ก ๆ ที่ตั้งอยู่ในอิตาลี แน่นอนว่านครรัฐวาติกัน (State of the Vatican City) กลางกรุงโรม คือชื่อแรกที่ทุกคนจะนึกถึง แต่จริง ๆ แล้ว ยังมีอีกหนึ่งประเทศที่ครองตัวเป็นรัฐอิสระมาเนิ่นนาน ณ แคว้นเอมีเลีย-โรมัญญา (Emilia-Romagna) ทางตอนเหนือของอิตาลี นั่นคือ “สาธารณรัฐซานมารีโน” (Republic of San Marino) ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นหนึ่งในดินแดนแห่งความลับของโลก เพราะไม่ได้เป็นที่รู้จักอย่างแพร่หลายเมื่อเทียบกับประเทศอื่น ๆ ในทวีปยุโรป ทว่าซานมารีโนมีความโดดเด่น ควรค่าแก่การเดินทางเพื่อไปสัมผัสสักครั้ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับนักเดินทางที่หลงใหลเรื่องราวเกี่ยวกับประวัติศาสตร์

เพื่อเป็นการเฉลิมฉลองครบรอบ 55 ปีของกลุ่มทิสโก้ที่เติบโตอย่างมั่นคง คอลัมน์ Horizon ฉบับนี้จะพาผู้อ่านท่องไปในซานมารีโน ผ่าน 5 เรื่องราวที่ถูกเล่าขาน โดยไม่เพียงโดดเด่นในความเป็นรัฐอิสระที่แม้จะรายล้อมด้วยอาณาจักรแห่งอิตาลี แต่กลับปกครองตัวเองอย่างมั่นคงแข็งแกร่งเท่านั้น ทว่ายังได้สร้างอัตลักษณ์เฉพาะตัวแก่ดินแดนแห่งนี้ ซึ่งเราเชื่อว่านี่จะเป็นการจุดประกายให้หลาย ๆ คนอยากเก็บกระเป๋าเพื่อออกเดินทางครั้งใหม่ ไปสัมผัสเสน่ห์เฉพาะตัวของประเทศเล็ก ๆ นี้ด้วยตัวเอง 

The First: A Voyage through the World's Oldest Sovereign State 

     “ซานมารีโน” ตั้งอยู่บนเทือกเขาแอเพนไนท์ (Apennine Mountains) จึงมีภูมิทัศน์งดงาม พรมแดนทุกทิศทางโอบล้อมด้วยประเทศอิตาลี มีพื้นที่ประมาณ 61 ตารางกิโลเมตร จำนวนประชากรราว 33,000 คน นี่คือประเทศที่เล็กที่สุดเป็นอันดับ 3 ของทวีปยุโรป รองจากนครรัฐวาติกันและโมนาโก หากนับรวมทุกประเทศแล้ว ซานมารีโนมีขนาดเล็กเป็นลำดับที่ 5 ของโลก

    ซานมารีโนได้ชื่อว่าเป็นประเทศสาธารณรัฐที่มีอำนาจอธิปไตยเก่าแก่ที่สุดในโลก ดินแดนแห่งนี้ไม่เคยถูกปกครองในรูปแบบราชอาณาจักรที่มีกษัตริย์เป็นประมุข มีประวัติศาสตร์สืบย้อนไปถึงปี 301 เมื่อซานมารีโนประกาศวันก่อตั้งสาธารณรัฐ ในวันที่ 3 กันยายน ค.ศ. 301

    ตามตำนานเล่าว่าเรื่องราวของประเทศเริ่มต้นขึ้นเมื่อมารินุส (Marinus) ผู้มีอาชีพช่างหินได้เดินทางออกจากเกาะราบแห่งอาณาจักรโรมัน (Roman Island of Rab ปัจจุบันเกาะนี้เป็นส่วนหนึ่งของประเทศโครเอเชีย) ไปยังเมืองริมินิ (Rimini) เพื่อร่วมสร้างกำแพงเมืองขึ้นใหม่ หลังจากถูกทำลายโดยเหล่าโจรสลัด จากนั้นเขาจึงได้ก่อตั้งชุมชนอิสระ ณ ภูเขาติตาโน (Mount Titano) ซึ่งได้กลายเป็นสาธารณรัฐซานมารีโนในปัจจุบัน ต่อมามารินุสได้รับแต่งตั้งเป็นนักบุญ ซึ่งเป็นที่มาของชื่อประเทศ (San Marino แปลว่านักบุญมารีนุสในภาษาอิตาลี) 

file
file

    พื้นที่เล็ก ๆ ของซานมารีโนเปี่ยมด้วยความรุ่มรวยทางประวัติศาสตร์ทำให้ศูนย์กลางเมืองเก่าของซานมารีโนและภูเขาติตาโน ซึ่งอยู่สูงกว่าระดับน้ำทะเล 750 เมตร ได้รับการจารึกไว้ในรายชื่อมรดกโลกขององค์การยูเนสโก (UNESCO) ตั้งแต่เมื่อวันที่ 7 กรกฎาคม ค.ศ. 2008 

    องค์การยูเนสโกกล่าวถึงซานมารีโนว่าเป็น “หนึ่งในประเทศสาธารณรัฐเก่าแก่ที่สุดในโลก และเป็นตัวแทนของขั้นตอนสำคัญแห่งการพัฒนาแม่แบบประชาธิปไตยทั่วโลก” ตำแหน่งเชิงกลยุทธ์ของยอดเขาติตาโน ผังเมืองเก่า พื้นที่เมือง และอนุสาวรีย์มากมาย คือหลักฐานสำคัญของความต่อเนื่องยาวนานในฐานะเมืองหลวงของสาธารณรัฐซึ่งมีบริบททางภูมิรัฐศาสตร์คงเดิม ส่วนกำแพงเมืองและศูนย์กลางประวัติศาสตร์เกิดการเปลี่ยนแปลงมาตามกาลเวลา โดยเฉพาะช่วงระหว่างปลายศตวรรษที่ 19 กับทศวรรษแรกของศตวรรษที่ 20 ที่มีการบูรณะและการสร้างใหม่ เกิดเป็นส่วนหนึ่งของประวัติศาสตร์ที่สะท้อนให้เห็นแนวทางการอนุรักษ์ และนำเสนอมรดกของชาติที่เกิดการปรับเปลี่ยนตามยุคสมัย

The Second: Center of Historical Architecture  

    บริเวณเนินเขาของภูเขาติตาโนคือส่วนของเมืองหลวงที่มีชื่อว่าซานมารีโนเช่นกัน พื้นที่แห่งนี้สวยงามโดดเด่นด้วยกำแพงเมืองจากยุคกลาง มีสัญลักษณ์ของประเทศตั้งตระหง่าน นั่นคือหอคอยสามแห่งที่ดูคล้ายปราสาท ทำหน้าที่เป็นป้อมปราการของเมืองในอดีต นี่คือหนึ่งในโบราณสถานสำคัญของโลกที่นักเดินทางผู้ชื่นชอบประวัติศาสตร์ควรมาเยือนสักครั้ง

    หอคอยที่หนึ่ง “กัวอิตา” (Guaita) เป็นป้อมปราการที่เก่าแก่ที่สุดและเป็นที่รู้จักมากที่สุด สร้างขึ้นในศตวรรษที่ 11 รวมทั้งยังทำหน้าที่เป็นเรือนจำในช่วงเวลาสั้น ๆ หอคอยแห่งนี้ได้รับการบูรณะหลายต่อหลายครั้ง จนกลายเป็นรูปลักษณ์ดังที่เห็นในปัจจุบัน

    หอคอยที่สอง “เชสตา” (Cesta) ตั้งอยู่บนยอดเขาที่สูงที่สุดของภูเขาติตาโน สร้างขึ้นในศตวรรษที่ 13 บนซากปรักหักพังของป้อมโรมันเก่า เป็นที่ตั้งของพิพิธภัณฑ์เก่าแก่ที่จัดแสดงอาวุธตั้งแต่ยุคกลางจนถึงยุคปัจจุบันเป็นจำนวนมากกว่า 1,550 ชิ้น

    และหอคอยที่สาม “มอนตาเล” (Montale) ตั้งอยู่บนยอดเขาที่เล็กที่สุดของภูเขาติตาโน สร้างในศตวรรษที่ 14 เชื่อกันว่าสร้างขึ้นเพื่อปกป้องเมืองจากตระกูลมาลาเทสตา (Malatesta) ที่มีอำนาจอย่างมากในยุคนั้น ที่นี่ยังทำหน้าที่เป็นเรือนจำด้วย ดังนั้นทางเข้าเดียวของหอคอยคือประตูที่สูงจากพื้นดินประมาณ 7 เมตร ซึ่งเป็นวิถีการก่อสร้างเรือนจำในยุคนั้น โดยที่นี่เป็นเพียงหอคอยเดียวที่ไม่เปิดให้สาธารณชนเข้าชม

    ซานมารีโนยังมีโบราณสถานทางศาสนามากมาย หนึ่งในนั้นคือมหาวิหารซานมารีโน (Basilica of Saint Marinus) โบสถ์ที่ปลูกสร้างตามแบบนีโอคลาสสิกที่ได้รับการนับถือมากที่สุดของซานมารีโน เพราะเป็นสถานที่จัดเก็บอัฐิของนักบุญมารินุส บิดาผู้ก่อตั้งประเทศ ใกล้ ๆ กันคือโบสถ์เซนต์ปีเตอร์ (Chiesa di San Pietro) ที่สวยงามและมีความสำคัญในฐานะสถานที่ฝังศพของนักบุญมารินุส

    สำหรับผู้ที่ต้องการเรียนรู้เกี่ยวกับประวัติศาสตร์ของซานมารีโนอย่างลึกซึ้ง สามารถจัดสรรเวลาไปเยือนพิพิธภัณฑ์ที่มีถึง 18 แห่ง ดำเนินงานโดยรัฐบาล 12 แห่ง และบริหารโดยเอกชน 6 แห่ง เราขอแนะนำพิพิธภัณฑ์แห่งชาติ (State Museum of San Marino) ซึ่งเปิดทำการตั้งแต่ปี 1899 ปัจจุบันตั้งอยู่ ณ ปาลาซโซ่ เปอร์กามี่ เบลลุซซี่ (Palazzo Pergami Belluzzi) ใจกลางแหล่งประวัติศาสตร์ของเมือง เก็บรักษาโบราณวัตถุตั้งแต่ยุคหินใหม่จนถึงยุคกลางตอนต้น จัดแสดงชิ้นงานเกือบ 5,000 ชิ้น ที่เชื่อมโยงกับประวัติศาสตร์ของประเทศ ไม่ว่าจะเป็นงานศิลปะ โบราณวัตถุ ภาพวาด และวัตถุต่าง ๆ ตลอดจนโบราณวัตถุจากอียิปต์โบราณ อิทรัสคัน (Etruscan Civilization อารยธรรมยุคก่อนประวัติศาสตร์ ก่อนการก่อตั้งกรุงโรม) และโรมัน

file
file

The Third: Spectacular Multisensory Moments

    หนึ่งในประสบการณ์การท่องเที่ยวซานมารีโน ที่จะสามารถสร้างความทรงจำประทับใจได้เป็นอย่างดี และเป็นการทำความรู้จักประเทศในมิติที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้น คือการได้มีโอกาสเข้าร่วมเทศกาลสำคัญประจำปีที่สำคัญที่สุดของประเทศ 

    ในช่วงสุดสัปดาห์สุดท้ายของเดือนกรกฎาคมของทุกปี ซานมารีโนจะจัดเทศกาลยุคกลาง (The Medieval Days) เป็นเวลา 4 วันเพื่อรำลึกถึงประวัติศาสตร์อันยาวนานของตน ในฐานะประเทศสาธารณรัฐที่เก่าแก่ที่สุดในโลก นี่คือวิธีการเชื่อมโยงกับรากเหง้ากว่าพันปีของตัวเองในรูปแบบที่เป็นเอกลักษณ์ ด้วยการชุบชีวิตของบรรยากาศในยุคโบราณผ่านการแต่งกายแบบดั้งเดิม รวมถึงพิธีกรรมและประเพณีต่าง ๆ พร้อมเสียงโห่ร้องของฝูงชนและเสียงกึกก้องของกลอง ทรัมเป็ต และแตรจากขบวนพาเหรด ถนนสายเล็ก ๆ ทุกสายจะได้รับการตกแต่งอย่างสวยงามด้วยแสง สี เสียง เพื่อสร้างสรรค์บรรยากาศอันน่าประทับใจ

    นอกจากจะสร้างความคึกคักและอัตลักษณ์เฉพาะตัวแล้ว เทศกาลนี้ยังเป็นโอกาสสำคัญที่เกิดขึ้นเพียงปีละครั้ง เพื่อเชิดชูความเป็นสาธารณรัฐอายุยาวนานนับพันปี ด้วยการนำเสนอเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์ ผ่านการแสดง ดนตรี และศิลปะต่าง ๆ นอกจากนี้ยังมีการจัดเทศกาลอาหาร (Food Festival) ควบคู่กัน ร้านอาหารต่าง ๆ จะมีการนำเสนอเมนูรสชาติโบราณและสูตรอาหารเก่าแก่ที่เป็นมรดกตกทอดมาจากบรรพบุรุษ รวมไปถึงการออกร้านขายสินค้าศิลปะและหัตถกรรมที่สืบทอดมาจากยุคโบราณ ความตระการตาเหล่านี้เป็นสิ่งที่นักเดินทางผู้ชื่นชอบและสนใจเรื่องวิถีชีวิตและวัฒนธรรมดั้งเดิมยิ่งนัก จึงไม่ควรพลาดที่จะเข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งหากต้องการมาเยือนซานมารีโน

The Fourth: Discover the Great Outdoor Experience 

    ด้วยลักษณะภูมิประเทศแบบภูเขา ทำให้ซานมารีโนมีภูมิทัศน์ที่โดดเด่นและเหมาะอย่างยิ่งต่อการเดินป่าเพื่อชมทัศนียภาพงดงามของเทือกเขาแอเพนไนน์ แม้จะมีพื้นที่เพียงราว ๆ 61 ตารางกิโลเมตร การเดินป่าจึงเป็นกิจกรรมยอดนิยมสำหรับคนท้องถิ่นและนักท่องเที่ยวสายธรรมชาติ ซานมารีโนมีเส้นทางเดินป่าหลายสายและมีจำนวนมากที่จุดหมายปลายทางจะนำไปสู่ยอดเขาติตาโนซึ่งเป็นจุดสูงสุดของประเทศ และเป็นจุดชมวิวที่สมบูรณ์แบบสำหรับการชมความงามของบริเวณเมืองเก่าจากมุมสูง

    เส้นทางเดินป่าที่โด่งดังและยอดนิยมที่สุดของที่นี่คือ เส้นทางเซนติเอโร เดลลา รูเป (Sentiero della Rupe) ซึ่งเป็นทางเดินเลียบภูเขาติตาโน และสิ้นสุดที่จัตุรัสปิแอซซาเล เคนเนดี้ (Piazzale Kennedy) ซึ่งเป็นจุดเชื่อมต่อไปยังหอคอยทั้งสามและบริเวณเมืองเก่า

    จุดเริ่มต้นที่ดีที่สุดของเส้นทางนี้คือ บริเวณสถานีรถกระเช้าลอยฟ้าในเขตเทศบาลบอร์โก มัจจอเร (Borgo Maggiore) ที่จะมีป้ายบอกเส้นทางการเดินเทรล เส้นทางนี้มีระยะทางเพียง 3.8 กิโลเมตร แต่ต้องถือว่าท้าทายพอสมควร เพราะความแตกต่างของระยะความสูงจากระดับน้ำทะเลอยู่ที่ 212 เมตร และมีบางส่วนของเส้นทางที่ชันมาก จึงต้องเดินอย่างระมัดระวัง และควรมีจังหวะการเดินที่ใช้เวลาอย่างน้อยสองชั่วโมงครึ่ง เส้นทางนี้ได้รับการดูแลเป็นอย่างดี จึงปลอดภัยมากสำหรับการเดินป่า มีป้ายสัญลักษณ์ตลอดเส้นทาง รวมทั้งยังมีบันได ราวเหล็ก และเชือก ในบริเวณที่จำเป็นเพื่อช่วยให้นักเดินทางทุกระดับความฟิตสามารถเดินเขาได้สำเร็จ

file
file
file
file

The Fifth: A Food Lover’s Paradise 

    แม้จะได้รับอิทธิพลด้านอาหารอย่างมากจากอาหารเมดิเตอร์เรเนียน (ซึ่งมีน้ำมันมะกอกและชีสเป็นส่วนผสมหลัก) และภูมิภาคเอมีเลีย-โรมัญญาของอิตาลีซึ่งอยู่ติดกัน แต่ซานมารีโนก็ยังพัฒนาอาหารเฉพาะถิ่นจนเกิดเป็นอาหารสไตล์ซานมารีโน ซึ่งแน่นอนว่าหากมาเยือนประเทศนี้แล้ว ควรได้ลิ้มลองความอร่อยรสแท้ตามแบบฉบับซานมารีโน

    หนึ่งในอาหารที่คนท้องถิ่นนิยมมากคือ ซุปฟาลิโอนี คอน เล โชติเค่ (Fagioli con le Cotiche) ที่มีถั่วคริสต์มาสและเบคอนเป็นส่วนผสมหลัก สำหรับจานเส้นต้องเป็นเมนูพาสต้า เอ เชชี่ (Pasta e Ceci) พาสต้าถั่วลูกไก่ที่ปรุงรสอันเป็นเอกลักษณ์ด้วยโรสแมรี่และกระเทียม  และเมนูนีดี้ ดิ รอนดิเน่ (Nidi di Rondine) พาสต้าลาซานญาอบม้วนเป็นขดข้างในมีพาร์มาแฮมแผ่นบาง ชีส โหระพา และซอสมารินาร่า และที่เขตเทศบาลบอร์โก มัจจอเร มีอาหารประจำถิ่นเรียกว่าพิอาด้า (Piada) ซึ่งเป็นขนมปังแผ่นที่บรรจุไส้ข้างในหลากหลาย เป็นเมนูง่าย ๆ ที่ได้รับความนิยมอย่างมาก

    สำหรับผู้ที่ชื่นชอบของหวาน แนะนำขนมหวานที่ได้แรงบันดาลใจมาจากหอคอยทั้งสามและภูเขาติตาโน จานแรกมีชื่อว่าตอร์ต้า เตร มินตี้ (Torta Tre Monti-เค้กแห่งภูเขา หรือหอคอยทั้งสาม) เป็นเค้กแสนอร่อยที่ทำจากวาฟเฟิลบาง ๆ และครีมช็อกโกแลตเฮเซลนัต ส่วนตอร์ต้า ติตาโน (Torta Titano) ที่อร่อยไม่น้อยหน้าเมนูแรก ได้ชื่อและแรงบันดาลใจมาจากภูเขาติตาโน ทำจากบิสกิต เฮเซลนัต ช็อกโกแลต ครีม และกาแฟ 

file

ร้านอาหารแนะนำ : ลา แฟรตต้า (La Fratta) ร้านอาหารเก่าแก่ที่ก่อตั้งขึ้นตั้งแต่ในปีช่วงปลายยุค 50 ที่นี่เน้นการเสิร์ฟอาหารประจำท้องถิ่นและภูมิภาค โดดเด่นเรื่องการใช้วัตถุดิบคุณภาพสูง เช่น เส้นพาสต้าโฮมเมด เนื้อสัตว์ ปลา เห็ด และเห็ดทรัฟเฟิลตามฤดูกาล ตั้งอยู่ ณ ใจกลางเขตประวัติศาสตร์ของซานมารีโน ใกล้กับกำแพงเมืองเก่า มีบรรยากาศรื่นรมย์ ด้านนอกมีระเบียงพร้อมทัศนียภาพอันงดงามของหุบเขา การรับประทานอาหารที่นี่จึงได้ทั้งอิ่มท้องอาหารอร่อย และอิ่มตาด้วยธรรมชาติแสนสวย 

file
file

ที่พักแนะนำ : โรงแรมติตาโน สวีท (Titano Suites Hotel) ตั้งอยู่ในอาคารโบราณสร้างด้วยหินท้องถิ่นสีทองตั้งแต่ปี 1894 ณ ใจกลางย่านเมืองเก่า เป็นส่วนต่อขยายจากโรงแรมติตาโน (Hotel Titano) ภายในห้องพักและทางเดินตกแต่งด้วยภาพจิตรกรรมฝาผนังร่วมสมัย พื้นที่ส่วนกลางและแผนกต้อนรับมอบบรรยากาศหรูหราและคลาสสิก ด้วยการตกแต่งเฟอร์นิเจอร์ไม้สีเข้มและผนังสีอบอุ่น ตกแต่งขอบผนังด้วยลวดลายตกแต่งสไตล์ยุคกลาง

Travel's Guide

  •   สามารถท่องเที่ยวซานมารีโนได้ตลอดทั้งปี โดยเฉพาะฤดูร้อน (มิถุนายน-สิงหาคม) จะคึกคักและมีชีวิตชีวาอย่างยิ่ง เพราะเป็นช่วงวันหยุดของชาวยุโรป แต่หากต้องการความสงบและเป็นส่วนตัว ช่วงเวลาที่แนะนำเป็นพิเศษ คือฤดูใบไม้ผลิ (มีนาคม-พฤษภาคม) และฤดูใบไม้ร่วง (กันยายน-พฤศจิกายน) เพราะสภาพอากาศกำลังพอดี และจำนวนนักท่องเที่ยวไม่หนาแน่นจนเกินไป
  • คนไทยสามารถเดินทางเข้าซานมารีโนได้ด้วยวีซ่าเชงเกน (Schengen Visa)